เด็ก ๆ พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา ตุ๊กตาเด็กเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้... หรือเรื่องราวของเด็ก ๆ เกี่ยวกับชาติที่แล้ว

การอภิปรายเกี่ยวกับความเป็นอมตะของจิตวิญญาณสามารถพบได้ในสมัยก่อน โลกโบราณ- จากนั้นจึงไตร่ตรองมากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจว่าวิญญาณคืออะไร และเชื่อมโยงกับความคิดและจิตสำนึกของมนุษย์อย่างไร

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของรุ่น การเปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับชีวิต สมมติฐานใหม่ก็ปรากฏขึ้น ประวัติศาสตร์ของมนุษย์สะสมเหตุการณ์ลึกลับและอธิบายไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละศตวรรษ

วันนี้มีความคิดเห็นมากมายในหัวข้อการกลับชาติมาเกิดมีการดำเนินการหลายช่วง

แต่แม้แต่ช่วงของการดำดิ่งลงสู่ชีวิตในอดีตซึ่งมีลักษณะเฉพาะในเนื้อหาก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากวิทยาศาสตร์ และในความเป็นจริงจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าคน ๆ หนึ่งเอา "ออกจากหัว" ของเขาได้อย่างไร? ในกรณีนี้ ข้อมูลและการวัดที่แม่นยำมักไร้ประสิทธิภาพ

แต่มีสถานการณ์ที่แม้แต่คนขี้ระแวงที่กระตือรือร้นที่สุดก็ยกมือขึ้น นี่คือความทรงจำของเด็ก ๆ ในชีวิตที่ผ่านมา ในกรณีนี้แม้แต่อาจารย์ด้านจิตวิทยาและ วิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่สามารถหักล้างเหตุการณ์ที่อธิบายไว้ได้

จำได้ไหมแม่เมื่อเราตายด้วยกัน?

« ฉันกำลังพาลูกสาววัย 3 ขวบโดยรถยนต์จากทันตแพทย์ เธอเพิ่งสวมมงกุฎสีเงินที่ฟันข้างของเธอ แต่เธอเป็นผู้ป่วยที่ดี - เธอไม่เคยร้องไห้และฟังหมอเลยในทุกเรื่อง ระหว่างทางกลับบ้าน เธอพูดอย่างกังวลว่า “ฉันไม่ชอบฟันสีเงิน จำได้ไหมเมื่อเราตายด้วยกัน คนเลวพวกนั้นเอาฟันเงินของเราไป?»

ความจริงก็คือเด็กเนื่องจากอายุของเขาจึงใกล้กับช่วงเวลาที่เกิดมากขึ้น - จนถึงช่วงเวลาที่เขายังอยู่นอกเหนือขอบเขตของความเป็นจริงที่แท้จริง

ความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่ "อยู่ที่นั่น" จริงๆ นั้นชัดเจนมากจนความทรงจำสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ บ่อยครั้งที่ตัวกระตุ้นอาจเป็นการเชื่อมโยงบางประเภทซึ่งนำไปสู่การฟื้นคืนของเหตุการณ์ในความทรงจำของเด็ก

พระอาทิตย์ก็ส่องแสงเหมือนตอนนั้น

« วันหนึ่ง ฉันกับลูกสาววัยสองขวบกำลังขับรถอยู่ เธอนั่งอยู่บนเบาะนั่งสำหรับเด็กแบบพิเศษและมองดูแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์บนกระจก ขณะที่เราขับรถข้ามสะพานข้ามช่องเขาลึก เธอพูดอย่างชัดเจนและมั่นใจ: “แม่คะ ที่นี่ทำให้ฉันนึกถึงสถานที่ที่ฉันเสียชีวิตมาก” ฉันถึงกับจอดรถและถามคำถามสองสามข้ออย่างระมัดระวัง

และนี่คือสิ่งที่ฉันได้ยิน: “รถตกจากสะพานลงแม่น้ำ ฉันไม่ได้สวมเข็มขัดและฉันก็บินลงไปในน้ำ ฉันกำลังนอนอยู่บนก้อนหินและเห็นสะพานด้านบนที่ส่องแสงระยิบระยับเหมือนตอนนี้ และมีฟองสบู่ลอยขึ้นไปด้านบน” ฉันตกตะลึง: ลูกสาวของฉันไม่เคยเห็นฟองในน้ำเลย เป็นเวลาประมาณหนึ่งปีที่ลีอาห์แทบไม่คิดถึงการเสียชีวิตของเธอและกังวลเรื่องเข็มขัดนิรภัยอยู่เสมอ».

ความทรงจำของเด็กๆ มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเด็กยังไม่มีโอกาสได้รับ จำนวนมากข้อมูลจากโลกภายนอก

ของเขา กระบวนการทางจิตจากมุมมองของจิตวิทยาและสรีรวิทยา มุ่งเป้าไปที่การพัฒนา: ในช่วงต้น วัยเด็ก– เป็นความรู้เรื่องอวกาศในระดับวิชา การจดจำคนที่รัก

ในอนาคตเขาจะเชี่ยวชาญบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ที่เขาได้เห็นจากการสื่อสารกับผู้ใหญ่ผ่านการเล่น แต่บางสถานการณ์ก็ไม่สอดคล้องกับกรอบการทำงานที่บางครอบครัวอาจจินตนาการได้

กษัตริย์ทรงฆ่าฉัน

« เมื่อลูกชายของเราอายุเกินสองขวบเล็กน้อย เย็นวันหนึ่งสามีของฉันเริ่มแต่งนิทานให้เขาและเชิญลูกชายของเขาให้เลือกชื่อตัวละครหลักด้วยตัวเอง นิกิตะเรียกชื่อทันที - กนิก

และหลังจบเกมเขาก็มักจะพูดถึงเรื่องนี้กับคณิกา เมื่อเราเริ่มถามเขาว่าชายคนนี้คือใคร Nikita บอกว่ากนิกเป็นราชา เขาขี่ม้าด้วยดาบ และในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง... เขาฆ่าเขา Nikita!

มันค่อนข้างแปลกสำหรับเรา แต่เรายังคงค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต - จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบุคคลดังกล่าวมีอยู่จริงครั้งหนึ่ง? ลองนึกภาพความประหลาดใจของเราเมื่อปรากฎว่าใน Khorezm โบราณในคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีผู้ปกครองชื่อ Kanik อาศัยอยู่จริง ๆ !»

เนื่องจากกิจกรรมหลักของเด็กคือการเล่น จึงบ่อยครั้งในระหว่างกระบวนการเล่นที่เขาเริ่มจำบางสิ่งจากเหตุการณ์ในอดีตชาติได้ ผู้ปกครองที่ละเอียดอ่อนไม่กลัวคำพูดดังกล่าว แต่ในทางกลับกัน พยายามค้นหาว่าลูกต้องการพูดอะไร

ฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่

« ลูกชายของฉันอายุ 3 ขวบ จากนั้นเขาก็นั่งของเล่นลงและเริ่มเล่นกับพวกมันราวกับว่าเขากำลังพาพวกมันไปทัวร์ “ดูสิ นี่คือบ้านของเรา ใช่ มันใหญ่มาก นี่คือบันได มีภาพวาดบนผนังของญาติของฉัน และนี่คือแม่และพ่อ

ดูสิว่าดอกไม้ในแจกันเหล่านี้สวยงามแค่ไหน - คนสวนของเรานำมันออกมาทุกเช้า และบนชั้นสองคือห้องของฉัน จากหน้าต่างคุณสามารถมองเห็นสวน - ดอกไม้เหล่านี้เติบโตอยู่ที่นั่น นี่คือผลไม้ - ฉันกินได้มากเท่าที่ต้องการ

ห้องของฉันคือของเล่น หนังสือ เสื้อผ้าของฉัน ป้าของฉันมอบหมวกใบนี้ให้ฉันในวันเกิดของฉันเมื่อปีที่แล้ว ชุดของฉันคือชุดที่ฉันใส่ไปโบสถ์ และชุดนี้เป็นชุดโปรดของฉัน! ถึงหมวก..."

และตั้งแต่ฉันวาด ฉันก็รีบวาดภาพเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 12 ปี เหมือนกับเบ็คกี้ แทตเชอร์จาก "The Adventures of Tom Sawyer" ฉันแสดงให้ลูกชายดู เขาตอบว่า "ใช่ ฉันเอง!" ทันใดนั้นเขาก็มองฉันด้วยความสงสัย: "เดี๋ยวก่อนแม่รู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบไหน!"»

และที่นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าแม้จะมีเพศของเด็กก็ตาม ชีวิตที่ผ่านมาแตกต่างออกไป มันไม่ปรากฏอยู่ในตัวเขา ชีวิตจริง- นั่นคือเขารับรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กผู้ชายโดยจำได้ว่ากาลครั้งหนึ่งเขาสวมชุดเดรส ทั้งหมดนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงพยาธิสภาพ แต่ชัดเจนว่าความทรงจำดังกล่าวมีที่มาของมัน

สำนวนที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้ถูกเลือก” เป็นที่รู้จักกันดี และในความเป็นจริง ตามความเข้าใจตามปกติ บุคคลไม่สามารถเดาได้ว่าเขาจะเกิดในครอบครัวใดและอะไรจะล้อมรอบเขาในปีแรกของชีวิต

ในด้านหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เราเป็นอิสระจากความรับผิดชอบ และเราสามารถพูดกับตัวเองด้วยการถอนหายใจ: “ มันก็เกิดขึ้น... ไม่ใช่ความผิดฉันที่พ่อแม่เป็นแบบนี้... พวกเขาไม่ได้สอนอะไรฉันเลย...».

ในทางกลับกัน สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การตำหนิพ่อแม่ของตนเองที่ “ไม่ได้สอนอะไรเราเลย” และไม่ใช่เราทุกคนที่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆเหรอ? พ่อแม่ไม่เลือกจริงเหรอ?

ฉันดีใจที่เลือกคุณแม่

« ลูกชายของฉัน อายุสองถึงหกขวบ ชอบเล่าเรื่องราวว่าเขาเลือกอย่างไร ฉันเป็นแม่ของคุณ ตามที่เขาพูด เขาอยู่ในห้องที่มีแสงสว่าง โดยมีชายคนหนึ่งสวมชุดสูท ฝั่งตรงข้ามมีคน “ที่ดูเหมือนตุ๊กตา” และคนแปลกหน้าก็เชิญเขาให้เลือกแม่ของเขา».

« เมื่อหลานชายของฉันเรียนรู้ที่จะเรียบเรียงคำเป็นประโยค เขาบอกน้องสาวของฉันและสามีของเธอว่าเขาดีใจมากที่เลือกพวกเขา เขาอ้างว่าก่อนเขาจะเป็นเด็ก เขาเห็นคนมากมายอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างจ้า “ฉันเลือกแม่เพราะว่าเธอมีหน้าตาน่ารัก ».

จะรับรู้คำพูดดังกล่าวจากลูกของคุณได้อย่างไร? พ่อแม่หลายคนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ตกอยู่ในความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง - “ลูกของฉันบ้าไปแล้วเหรอ!” แต่อย่าด่วนสรุป

1. ฟังลูกของคุณหากจำเป็น ให้ถามคำถามนำ: "ที่ไหน", "เมื่อไร", "คุณชื่ออะไร", "คุณต้องการบอกอะไรอีกไหม" คุณอาจสงสัยว่าทำไมเขาถึงจำบางสิ่งจากชาติที่แล้วได้ตอนนี้ และมันมีความหมายอะไร

2. เขียนทุกสิ่งที่ลูกของคุณพูด- คุณสามารถทำได้ในรูปแบบของเกม - ตัวอย่างเช่นในรูปแบบของภาพวาดเสริมด้วยโน้ต บางทีในระหว่างบทเรียนนี้ ลูกน้อยของคุณอาจจะบอกคุณบางอย่างมากกว่านี้

3. แสดงความสนใจและความสนใจต่อลูกของคุณความรู้สึกนั้น คนใกล้ชิดสนับสนุนเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว - นี่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคุณกับลูกเท่านั้น

4. ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องหัวเราะและตลกเกี่ยวกับสิ่งที่พูดไป มันไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกของคุณขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังจะฝังอยู่ในความทรงจำของเขาด้วย ใครจะรู้บางทีเขาอาจจะนำสิ่งนี้ไปสู่ชีวิตหน้าของเขา?

มีความละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ลูกน้อยของคุณ! การระลึกถึงชาติที่แล้วถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ! สิ่งนี้บ่งบอกถึงความละเอียดอ่อนและเอกลักษณ์ของลูกของคุณ ดูสิบางทีเขาอาจจะเปิดเผยพรสวรรค์และความสามารถอื่น ๆ ของเขา และสำหรับการเอาใจใส่ต่อเหตุการณ์ในอดีตของเขา ลูกของคุณจะขอบคุณคุณในฐานะผู้ใหญ่!

การกลับชาติมาเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง เป็นเวลานานทิ้งไว้ข้างสนาม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์- โชคดีที่ปัญหานี้เพิ่งเริ่มได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ หลายสิบปีก่อน นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน คาร์ล เซแกน ได้ตัดสินค่อนข้างน่าสนใจ ตามที่เขาพูดมีเพียงสามสิ่งในจิตศาสตร์ที่สมควรได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง

เหนือสิ่งอื่นใด มีการตั้งชื่อปรากฏการณ์ที่บางครั้งเด็กๆ รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตที่ไม่สามารถรู้ได้หากไม่กลับชาติมาเกิด ในความเป็นจริงข้อมูลทั้งหมดมีความถูกต้องครบถ้วน จนถึงปัจจุบัน มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว การศึกษาจำนวนมากสามารถเปิดม่านแห่งความลับเหนือปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและอธิบายไม่ได้นี้จากมุมมองของโลกแห่งวัตถุ

วิทยาศาสตร์ที่จับต้องไม่ได้มีสิทธิที่จะดำรงอยู่

ปรากฏการณ์ดังกล่าว เช่น การโยกย้ายจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตเข้าสู่ร่างกายของทารกแรกเกิดนั้นได้รับการเคารพนับถืออย่างศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาตะวันออก แต่ถ้าผู้เชี่ยวชาญสมัยใหม่เริ่มศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่วัตถุอย่างลึกซึ้ง พวกเขาจะก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องความรู้เรื่องการดำรงอยู่โดยรวม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ ในอนาคตอันใกล้นี้ วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าอย่างมากได้ภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว

หัวหน้านักวิจัยของประเด็นนี้

ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงที่สุดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดคือ Jim Tucker จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ในปี 2008 ในสิ่งพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ เขาได้ตีพิมพ์บทวิจารณ์กรณีพิเศษที่เขาพบในสาขาอาชีพของเขา กรณีทั่วไปของการย้ายถิ่นฐานของจิตวิญญาณที่ทักเกอร์บรรยายนั้นเกี่ยวข้องกับวัตถุที่อธิบายไว้อย่างแม่นยำจากชีวิตที่ผ่านมาของญาติผู้ล่วงลับ เป็นเรื่องที่น่าสงสัย แต่เด็กๆ จะจำทุกสิ่งทุกอย่างได้จนถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุด และสามารถอวดความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ จากอดีตอันไกลโพ้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กแต่ละคนจะเริ่มจดจำชีวิตในอดีตได้อย่างชัดเจนเมื่ออายุได้ประมาณสามปี ในเวลานี้เด็กๆ สามารถบรรยายเหตุการณ์และประสบการณ์ที่ผ่านมาได้แล้ว เรื่องราวของพวกเขามักจะกว้างขวางและมีรายละเอียดที่น่าประหลาดใจ อายุที่น้อยเช่นนี้บ่งบอกว่าเด็กเหล่านี้รู้จริงๆ ว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างไร เด็กเหล่านี้แสดงการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ที่น่าทึ่งเมื่อพูดถึงประสบการณ์ก่อนหน้านี้ บางคนร้องไห้ทั้งน้ำตาขอร้องพ่อแม่ให้เชื่อพวกเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุ 6-7 ปี เรื่องราวเกี่ยวกับชาติที่แล้วมักจะหยุดลง ตามที่ดร. ทัคเกอร์กล่าวไว้ คนไข้ส่วนใหญ่ของเขาสูญเสียการติดต่อกับความทรงจำจริงๆ ความสนใจของเด็กที่โตแล้วเปลี่ยนมาสู่ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มไปโรงเรียน ได้รับประสบการณ์และอารมณ์มากขึ้น ต่อไป เราจะเล่าเรื่องราวของเด็กพิเศษหกคนที่ได้รับการกลับชาติมาเกิด

แซม เทย์เลอร์

เด็กคนนี้เป็นหนึ่งในวอร์ดของจิม ทัคเกอร์ ทารกเกิดหนึ่งปีครึ่งหลังจากการตายของปู่ของเขาเอง น่าประหลาดใจที่เด็กชายแสดงความทรงจำครั้งแรกเกี่ยวกับชาติที่แล้วเมื่ออายุได้เพียงหนึ่งปีกว่าๆ ทารกเริ่มพูดได้เร็ว และเมื่ออายุได้หนึ่งขวบครึ่งเขาก็ทิ้งวลีที่จ่าหน้าถึงพ่อของเขา

ขณะที่ชายคนนั้นกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แซม เด็กชายก็พูดว่า "ตอนที่ฉันอายุเท่าคุณตอนนี้ ฉันก็เปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณด้วย" จากนั้นเด็กก็เริ่มให้ข้อมูลเกี่ยวกับปู่ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาลงเอยด้วยการบอกรายละเอียดกับพ่อแม่ของเขาที่พวกเขาไม่เคยบอกเขา ตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับความจริงที่ว่าพี่สาวของปู่ของฉันถูกฆ่าตายในครั้งเดียว และเกี่ยวกับค็อกเทลอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณยายของฉันที่เธอทำก่อนที่เธอจะเสียชีวิตไม่นาน

ไรอัน เด็กชายจากมิดเวสต์

ความทรงจำเริ่มหลอกหลอนไรอันเมื่อเขาอายุได้สี่ขวบ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ยังเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวอีกด้วย และเมื่ออายุได้ห้าขวบเด็กชายก็พูดอย่างตกตะลึงกับแม่ของเขา เด็กยอมรับอย่างเปิดเผยว่าเขาคิดว่าตัวเองเคยเป็นคนอื่น เขามักจะพูดถึงบ้านที่แท้จริงของเขาในฮอลลีวูดและขอร้องให้แม่ไปที่นั่น เขาพูดโดยละเอียดเกี่ยวกับการพบปะกับดาราภาพยนตร์ รวมถึงริต้า เฮย์เวิร์ดเอง เกี่ยวกับการเต้นในละครเพลงบรอดเวย์ เกี่ยวกับการทำงานในบริษัทตัวแทน และความจริงที่ว่าดารามักจะใช้ชื่อสมมติที่มีเสียงดัง ไรอันยังจำชื่อถนนที่เขาเคยอาศัยอยู่ได้

แม่ของเด็กชายเชื่อเรื่องราวทั้งหมดเพราะมีรายละเอียดและน่าเชื่อถือ คุณ เด็กเล็กฉันไม่สามารถใส่ข้อมูลลงในหัวได้มากนัก ครอบครัวศึกษาเอกสารสำคัญมากมาย ในระหว่างนั้นพบรูปถ่ายของชายคนหนึ่ง ไรอันชี้ให้เธอเห็นทันที แต่ไม่ทราบตัวตนของเธอ ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากดร.ทักเกอร์ นักวิทยาศาสตร์เริ่มการวิจัยอิสระของเขา

ในที่สุด ปรากฎว่าภาพถ่ายเก่านั้นมาจากภาพยนตร์เรื่อง Night After Night และชายคนนั้นชื่อ Marty Martin ในช่วงเริ่มต้นอาชีพชายคนนี้เป็นนักเต้นที่บรอดเวย์จากนั้นก็ทำงานในเอเจนซี่ซึ่งเขาสร้างนามแฝงที่มีเสียงดังให้กับลูกค้า เขาเดินทางบ่อยครั้งและอาศัยอยู่ในปารีส น่าแปลกที่ไรอันตัวน้อยจำได้ว่ามาร์ตินมีลูกกี่คนและเขาแต่งงานกี่ครั้ง เขาจำสาวใช้ชาวแอฟริกันอเมริกันและคนอื่นๆ อีก 55 คนได้ ข้อเท็จจริงที่น่าอัศจรรย์จากชีวิตของบรรพบุรุษของเขา เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำของเด็กชายเริ่มมีหมอกหนาและน่ากลัวมากขึ้น

ชนนัย ชุมาลาวงศ์

เด็กคนนี้มาจากประเทศไทย เมื่ออายุได้สามขวบ เขาเริ่มเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นครูชื่อไก่บัว และถูกยิงเสียชีวิตขณะขี่จักรยานไปโรงเรียน เขาขอร้องให้พ่อแม่พาไปหาพ่อแม่ของไก่ เขาจำหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ได้อย่างชัดเจน และในที่สุดเขาก็ชักชวนคุณยายของเขาให้ไปที่นั่น จากเรื่องราวของคุณยายสุดเซอร์ไพรส์ ทันทีที่เธอกับชนัญ ลงจากรถบัส เด็กชายก็เดินไปตามถนนที่คุ้นเคยอย่างมั่นใจ เขาพาเธอไปที่บ้านที่พ่อแม่ผู้สูงอายุของไคอาศัยอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้เฒ่ายืนยันข้อมูลทั้งหมด

เด็กชายที่ไม่รู้จัก

น้องชายต่างมารดาของเด็กชายซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เสียชีวิตเมื่อ 12 ปีก่อนที่เขาจะเกิดจากโรคนิวโรบลาสโตมา การวินิจฉัยแย่มากได้รับการวินิจฉัยทันทีหลังจากที่เด็กชายเริ่มเดินกะโผลกกะเผลกอย่างเป็นระบบ แล้วความโชคร้ายครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นกับทารก - การแตกหักทางพยาธิวิทยาหน้าแข้ง ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจชิ้นเนื้อก้อนเนื้อเหนือหูข้างขวา หลังจากยืนยันการวินิจฉัยแล้ว ทารกก็ได้รับเคมีบำบัด เขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้สองขวบ และในขณะที่เขาเสียชีวิต เด็กชายก็ตาบอดตาซ้ายโดยสิ้นเชิง 12 ปีต่อมา น้องชายต่างมารดาของเขาเกิด

ทารกแรกเกิดมีไฝเด่นชัดสามตัวอยู่ในบริเวณที่น้องชายของเขาได้รับผลกระทบ พบอาการบวมที่เหมือนกันเหนือหูข้างขวาและต่อมาเป็นต้อกระจกที่กระจกตาของตาซ้าย ทันทีที่ฮีโร่คนต่อไปของเราเริ่มเดิน เขาก็เดินกะโผลกกะเผลก ต่อมาเขาได้พูดถึงบ้านหลังก่อนและอธิบายได้อย่างแม่นยำอย่างน่าทึ่ง เมื่ออายุ 4.5 ปี เด็กชายจำมีดผ่าตัดได้

เคนดรา คาร์เตอร์

เมื่อเด็กหญิงเริ่มเรียนว่ายน้ำเมื่ออายุได้ 4 ขวบ เธอก็ได้สร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับครูฝึกของเธอทันที ไม่นานหญิงสาวก็เล่าให้ฟังว่าในชาติที่แล้วเธอเกิด เด็กที่ตายแล้วผู้ฝึกสอนของคุณ ผู้หญิงคนหนึ่งประสบกับการแท้งบุตรเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เร็วๆ นี้ การเชื่อมต่อทางอารมณ์ระหว่างเคนดรากับแม่ “แก่” ของเธอยิ่งเข้มข้นขึ้น บทเรียนของพวกเขาบ่อยขึ้นและทั้งคู่ยังคงอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน

ในท้ายที่สุดความขัดแย้งครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นระหว่างครูสอนว่ายน้ำกับแม่ที่แท้จริงของเด็กผู้หญิง หลังจากนั้นทารกก็หดหู่และพูดไม่ได้เป็นเวลา 4.5 เดือน การติดต่อครั้งก่อนกลับมาค่อยๆ กลับมาต่อ และเคนดราก็เริ่มเข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้ง

เจมส์ ไลนิงเกอร์

James Leininger เด็กชายวัย 4 ขวบจากรัฐลุยเซียนา เริ่มพูดถึงการเป็นนักบินการบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1945 มันถูกยิงตกเหนือเกาะอิโวจิมะของญี่ปุ่น ผู้เป็นแม่เชื่อเด็กชายทันที เพราะในตอนกลางคืนเขาตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อเย็นและกรีดร้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกอันเลวร้าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด พ่อแม่รู้สึกประทับใจกับความรู้ที่แม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับโครงสร้างของเครื่องบินทิ้งระเบิด เด็กชายอายุ 4 ขวบไม่สามารถรู้ข้อมูลทั้งหมดนี้ได้ ตัวอย่างเช่น เขารู้ว่าระเบิดอยู่ที่ไหนบนเรือและที่เก็บสัมภาระอยู่ที่ไหน

ต่อจากนั้นผู้ปกครองเริ่มมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลโดยการดูสารคดีเกี่ยวกับการบินทหารอเมริกัน เจมส์จำชื่อเรือบรรทุกเครื่องบิน ฝูงบินของเขา และชื่อของนักบินคนอื่นๆ ได้ ในที่สุด ผู้เป็นพ่อซึ่งมองดูเรื่องราวของลูกชายด้วยความสงสัยก็ถูกบังคับให้ยอมแพ้

จิม ทักเกอร์จากชาร์ลอตส์วิลล์ (สหรัฐอเมริกา) เป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงวิชาการเพียงคนเดียวในโลกที่ศึกษาเรื่องราวของเด็กๆ ในชีวิตที่ผ่านมาเป็นเวลา 15 ปี จึงถือเป็นหลักฐานของการกลับชาติมาเกิด

ทัคเกอร์ได้รวบรวมกรณีต่างๆ จากสหรัฐอเมริกาไว้ในหนังสือเล่มใหม่และนำเสนอสมมติฐานของเขาเองเกี่ยวกับแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด ด้านล่างนี้เป็นคำแปลของบทความ “The Science of Reincarnation” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน University of Virginia Journal

ความทรงจำที่เกิดขึ้นเองและเกมในวัยเด็ก

เมื่อไรอัน ฮัมมอนส์อายุได้สี่ขวบ เขาเริ่มเล่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยมีคำสั่งอย่าง "แอ็กชัน" ดังก้องมาจากห้องในวัยเด็กของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในไม่ช้าเกมเหล่านี้ก็สร้างความกังวลให้กับพ่อแม่ของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับกรีดร้องในคืนหนึ่ง คว้าหน้าอกของเขา และเริ่มบอกเขาว่าเขาฝันว่าวันหนึ่งหัวใจของเขาจะระเบิดขณะอยู่ที่ฮอลลีวูด

ซินดี้ แม่ของเขาไปหาหมอ แต่หมออธิบายว่ามันเป็นฝันร้าย และในไม่ช้าเด็กชายก็จะโตเร็วกว่าวัยนี้ เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ซินดี้กำลังวางลูกชายของเธอเข้านอน จู่ๆ เขาก็จับมือเธอแล้วพูดว่า “แม่คะ ฉันคิดว่าฉันเคยเป็นคนอื่นมาก่อน” ไรอันอธิบายว่าเขาจำเรื่องใหญ่ได้ ทำเนียบขาวและสระว่ายน้ำ

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ห่างจากบ้านของพวกเขาในโอคลาโฮมาหลายไมล์ ไรอันบอกว่าเขามีลูกชายสามคน แต่เขาจำชื่อไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้และถามแม่ว่าทำไมจำชื่อไม่ได้ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร” ซินดี้เล่า

“ฉันกลัวมาก เขายืนกรานในเรื่องนี้มาก หลังจากคืนนั้น เขาพยายามจำชื่อพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก และทุกครั้งที่เขาผิดหวังที่ไม่สามารถจำได้ ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดบนอินเทอร์เน็ต ฉันยังอ่านหนังสือห้องสมุดเกี่ยวกับฮอลลีวูดด้วยหวังว่ารูปภาพเหล่านี้อาจช่วยเขาได้

ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครมาหลายเดือนแล้ว” วันหนึ่ง ขณะที่ไรอันและซินดี้กำลังดูหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับฮอลลีวูด ไรอันก็หยุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของรูปถ่ายขาวดำจากภาพยนตร์ช่วงทศวรรษปี 1930 เรื่อง Night After Night ภาพถ่ายแสดงให้เห็นชายสองคนกำลังข่มขู่บุคคลที่สาม พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยชายอีกสี่คน

ซินดี้จำใบหน้าไม่ได้ แต่ไรอันชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดว่า "เฮ้ แม่ นี่จอร์จนะ" เราสร้างภาพยนตร์ด้วยกัน” จากนั้นนิ้วของเขาก็เลื่อนไปทางชายที่สวมเสื้อแจ็คเก็ต ด้านขวารูปภาพที่ดูเศร้าหมอง: “คนนี้คือฉัน ฉันพบตัวเองแล้ว!”

แม้ว่าจะพบไม่บ่อยนัก แต่คำกล่าวอ้างของไรอันไม่ได้มีลักษณะเฉพาะและเป็นหนึ่งในคดีทั้งหมดมากกว่า 2,500 คดีที่จิตแพทย์ จิม ทัคเกอร์ รวบรวมไว้ในเอกสารสำคัญของเขาที่แผนก ศูนย์การแพทย์ของ Perceptual Studies ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

เมื่ออายุได้สองขวบ เด็กๆ จะจดจำชีวิตในอดีตของตนได้

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ทักเกอร์ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กๆ ที่มักจะมีอายุระหว่าง 2-6 ขวบ โดยอ้างว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่มาก่อน บางครั้งเด็กเหล่านี้ก็สามารถอธิบายรายละเอียดที่ค่อนข้างละเอียดเกี่ยวกับชาติก่อนๆ เหล่านี้ได้

บุคคลที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้เหล่านี้มีชื่อเสียงหรือเป็นที่นิยมน้อยมาก และมักจะไม่เป็นที่รู้จักของครอบครัวของเด็กเหล่านี้เลย ทัคเกอร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์สองคนในโลกที่กำลังศึกษาปรากฏการณ์นี้ อธิบายว่าประสบการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนแตกต่างกันไป

บางส่วนสามารถระบุได้ง่าย - ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าเรื่องราวที่ไม่เป็นอันตรายของเด็กเกิดขึ้นในครอบครัวที่พวกเขาสูญเสีย ญาติสนิท- ในกรณีอื่นๆ เช่นเดียวกับในกรณีของไรอัน สิ่งที่สมเหตุสมผลที่ต้องทำคือ คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ทักเกอร์กล่าว ซึ่งทั้งเรียบง่ายและน่าทึ่ง: “อย่างไรก็ตาม เด็กก็จำความทรงจำจากอีกชีวิตหนึ่งได้”

“ฉันตระหนักดีว่านี่เป็นก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจและยอมรับว่ามีบางสิ่งที่เกินกว่าที่เราจะมองเห็นและสัมผัสได้” ทัคเกอร์ ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินอธิบาย ผู้อำนวยการด้านการแพทย์โรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัย ( คลินิกจิตเวชเด็กและครอบครัว)

“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลักฐานที่จำเป็นต้องพิจารณาเหตุการณ์ดังกล่าว และหากเราพิจารณากรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด คำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดคือมีการถ่ายโอนความทรงจำเกิดขึ้น”

กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการเกิดใหม่

ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา Return to Live ทักเกอร์เล่าถึงกรณีที่น่าสนใจที่สุดบางกรณีที่เขาเคยศึกษาในสหรัฐอเมริกา และเสนอข้อโต้แย้งของเขาว่าการค้นพบล่าสุดในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรมของอนุภาคที่เล็กที่สุดในธรรมชาตินั้น กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด

“ฟิสิกส์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่าโลกทางกายภาพของเราเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของเรา” ทักเกอร์รายงาน “มุมมองนี้ไม่เพียงแต่ของฉันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ อีกจำนวนมากด้วย” แม้ว่างานของทัคเกอร์กำลังนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในชุมชนวิทยาศาสตร์ งานวิจัยของเขาส่วนหนึ่งอิงจากกรณีที่ศึกษาโดยเอียน สตีเวนสัน บรรพบุรุษของเขา ซึ่งเสียชีวิตในปี 2550 ซึ่งรวบรวมคดีจากทั่วโลกที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดที่เท่าเทียมกัน

สำหรับ Michael Levin ผู้อำนวยการศูนย์ชีววิทยาพัฒนาการบูรณะและฟื้นฟูที่มหาวิทยาลัย Tufts และผู้แต่งบทวิจารณ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหนังสือเล่มแรกของ Tucker ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "การวิจัยชั้นหนึ่ง" ข้อโต้แย้งดังกล่าวเกิดขึ้นจากแบบจำลองของวิทยาศาสตร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถหักล้างหรือพิสูจน์การค้นพบของทัคเกอร์ได้ “เมื่อคุณจับปลาด้วยอวนที่มีรูใหญ่ คุณจะไม่มีวันจับปลาที่เล็กกว่าหลุมเหล่านั้นได้ สิ่งที่คุณพบมักถูกจำกัดด้วยสิ่งที่คุณกำลังมองหาเสมอ

วิธีการและแนวคิดในปัจจุบันไม่สามารถรับมือกับข้อมูลเหล่านี้ได้” ทัคเกอร์ ซึ่งการวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแต่เพียงผู้เดียว ได้เริ่มค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิดในปลายปี 1990 หลังจากที่เขาอ่านบทความใน Charlottesville Daily Progress เกี่ยวกับการคบหาที่ งานวิจัยเอียน สตีเวนสัน เกี่ยวกับ การเสียชีวิตทางคลินิก: “ผมสนใจแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายและคำถามว่าเราจะใช้ได้ไหม วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาพื้นที่นี้”

หลังจากเริ่มเป็นอาสาสมัครในแผนกของ Stevenson เป็นเวลาหลายปี เขาก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของทีมและมอบบันทึกของ Stevenson ซึ่งส่วนหนึ่งมีอายุในช่วงต้นทศวรรษ 1960 “งานนี้” ทัคเกอร์กล่าว “ทำให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งมาก”

การกลับชาติมาเกิดเป็นตัวเลข:

งานวิจัยของทักเกอร์เปิดเผยรูปแบบที่น่าสนใจในกรณีที่เด็กๆ รายงานว่ามีความทรงจำในอดีต วัยกลางคน 28 ปี ณ เวลาที่คนก่อนเสียชีวิต เด็กส่วนใหญ่ที่รายงานความทรงจำในชีวิตในอดีตมีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ปี 60% ของเด็กที่รายงานความทรงจำในชีวิตในอดีตเป็นเด็กผู้ชาย

เด็กเหล่านี้ประมาณ 70% กล่าวว่าพวกเขาเสียชีวิตด้วยความรุนแรงหรือผิดธรรมชาติ เด็ก 90% ที่รายงานความทรงจำในอดีตบอกว่าตนเป็นเพศเดียวกันในชีวิตก่อน เวลาเฉลี่ยระหว่างวันที่รายงานการเสียชีวิตและการเกิดใหม่ 16 เดือน 20% ของเด็กเหล่านี้ เด็กๆ รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างการตายและการเกิดใหม่

ลักษณะของเด็กดังกล่าวมีอะไรบ้าง?

การวิจัยเพิ่มเติมโดยทักเกอร์และคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้โดยทั่วไปจะมีไอคิวสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่มีความผิดปกติทางจิตและปัญหาพฤติกรรมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์อันเจ็บปวดในครอบครัวผ่านการบรรยายเรื่องราวดังกล่าว

เด็กที่เข้ารับการตรวจประมาณร้อยละ 20 มีลักษณะคล้ายแผลเป็น ปานหรือความพิการที่มีลักษณะคล้ายรอยและบาดแผลของคนที่ตนระลึกชาติได้และได้รับมาไม่นานหรือเมื่อถึงแก่ความตาย ข้อความเหล่านี้ส่วนใหญ่ในเด็กจะลดลงเมื่ออายุได้ 6 ขวบ ซึ่งเป็นเวลาที่สมองของเด็กกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาระยะใหม่

แม้ว่าเรื่องราวของพวกเขาจะมีลักษณะเหนือธรรมชาติ แต่แทบไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาและบันทึกหลักฐานที่แสดงสัญญาณอื่นๆ ของความสามารถ "เหนือธรรมชาติ" หรือ "การรู้แจ้ง" ทัคเกอร์เขียน “ฉันรู้สึกว่าถึงแม้เด็กบางคนจะพูดเชิงปรัชญา แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ยังเป็นเด็กปกติทั่วไป

ใครๆ ก็เปรียบเทียบสิ่งนี้กับสถานการณ์ที่เด็กไปโรงเรียนวันแรกไม่ได้ฉลาดไปกว่าวันสุดท้ายของเขาเลย โรงเรียนอนุบาล- ทัคเกอร์เติบโตมาในฐานะเซาเทิร์นแบปติสต์ในนอร์ธแคโรไลนา โดยพิจารณาคำอธิบายอื่นๆ ที่ตรงไปตรงมามากกว่า และยังตรวจสอบกรณีของการหลอกลวงอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทางการเงินและชื่อเสียง

“แต่ในกรณีส่วนใหญ่ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากสัญญาภาพยนตร์” ทัคเกอร์กล่าว “และหลายครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก รู้สึกเขินอายที่จะพูดถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก” แน่นอนว่า ทัคเกอร์ไม่ได้แยกแยะแม้แต่จินตนาการในวัยเด็กธรรมดาๆ ไว้เป็นคำอธิบาย แต่นั่นไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอันมากมายที่เด็กบางคนจำคนคนก่อนได้: "มันลอยไปเมื่อเผชิญกับตรรกะทั้งหมดจนสามารถทำได้ทั้งหมด เป็นเรื่องบังเอิญ”

ในหลายกรณี ผู้วิจัยกล่าวต่อไปว่า มีการเปิดเผยความทรงจำเท็จของพยาน แต่มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ปกครองบันทึกเรื่องราวของลูกๆ ของตนอย่างระมัดระวังตั้งแต่เริ่มต้น “จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลใดๆ ที่สามารถอธิบายรูปแบบอื่นที่เด็กๆ—เช่นในกรณีของไรอัน—เชื่อมโยงอารมณ์ที่รุนแรงเข้ากับความทรงจำของพวกเขา” ทัคเกอร์เขียน

Tucker เชื่อว่าจำนวนคดีที่ค่อนข้างน้อยที่เขาและ Stevenson สามารถรวบรวมได้ในอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา สามารถอธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ปกครองหลายคนเพิกเฉยหรือตีความเรื่องราวของลูกๆ ของตนผิด: "เมื่อเด็กๆ รู้สึกรู้สึกว่าพวกเขา ไม่ได้รับการฟังหรือไม่เชื่อพวกเขาก็หยุดพูดถึงมัน พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กส่วนใหญ่ต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ”

การมองจิตสำนึกจากมุมมอง ฟิสิกส์ควอนตัม

การที่จิตสำนึกหรืออย่างน้อยความทรงจำสามารถถ่ายโอนจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้นั้นยังคงเป็นปริศนาได้อย่างไร แต่ทัคเกอร์เชื่อว่าคำตอบอาจพบได้จากพื้นฐานของฟิสิกส์ควอนตัม นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าสสาร เช่น อิเล็กตรอนและโปรตอน จะสร้างเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อถูกสังเกต

ตัวอย่างที่เรียบง่ายคือสิ่งที่เรียกว่าการทดลองแบบสลิตคู่: หากปล่อยให้แสงตกผ่านรูที่มีช่องว่างเล็กๆ สองช่อง โดยด้านหลังช่องหนึ่งมีแผ่นปฏิกิริยาแสง และไม่ได้สังเกตกระบวนการนี้ แสงจะผ่านทั้งสองช่องได้ กรีด หากคุณสังเกตกระบวนการดังกล่าว แสงจะตกผ่านรูใดรูหนึ่งจากสองรูเท่านั้น ดังที่แผ่นแสดงให้เห็น

พฤติกรรมของแสงหรืออนุภาคของแสงจึงเปลี่ยนไป แม้ว่าความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการนี้ถูกสังเกตพบ ในความเป็นจริง ยังมีข้อโต้แย้งและข้อถกเถียงที่ทรงพลังเกี่ยวกับการทดลองนี้และผลลัพธ์ของมันด้วย อย่างไรก็ตาม ทัคเกอร์เชื่อเช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งฟิสิกส์ควอนตัมอย่างแม็กซ์ พลังค์ ว่าโลกทางกายภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยจิตสำนึกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ และอาจวิวัฒนาการมาจากมันด้วยซ้ำ

หากสิ่งนี้เป็นจริง จิตสำนึกก็ไม่จำเป็นต้องมีสมอง ดังนั้นสำหรับทัคเกอร์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าการตายของสมองทำให้จิตสำนึกสิ้นสุดลงเช่นกัน: "ค่อนข้างเป็นไปได้ที่จิตสำนึกจะปรากฏในชีวิตใหม่" Robert Pollock ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์และศาสนาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่านักวิทยาศาสตร์สับสนมานานแล้วว่าการสังเกตการณ์มีบทบาทอย่างไรในโลกทางกายภาพ

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานที่นำเสนอไม่จำเป็นต้องเป็นวิทยาศาสตร์: “การถกเถียงดังกล่าวในหมู่นักฟิสิกส์มักจะเน้นไปที่ความชัดเจนและความสวยงามของแนวคิดดังกล่าว มากกว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในความคิดของฉัน นี่เป็นอะไรก็ได้นอกจากการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ ฉันคิดว่าพลังค์และผู้ติดตามของเขาสังเกตและสังเกตพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กนี้บนพื้นฐานของการที่พวกเขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับจิตสำนึกและด้วยเหตุนี้จึงแสดงความหวัง

แม้ว่าฉันหวังว่ามันจะถูกต้อง แต่ก็ไม่มีทางพิสูจน์หรือหักล้างแนวคิดเหล่านี้ได้" ในทางกลับกัน ทัคเกอร์อธิบายว่าสมมติฐานของเขามีพื้นฐานมาจากมากกว่าแค่ความปรารถนา นี่เป็นมากกว่าแค่ความหวัง “ถ้าคุณมีหลักฐานเชิงบวกโดยตรงสำหรับทฤษฎีใด ๆ มันก็สำคัญแม้ว่าจะมีหลักฐานเชิงลบที่ต่อต้านทฤษฎีนั้นก็ตาม”

ไรอันพบกับลูกสาวของเขาในชาติที่แล้ว

Cindy Hamons ไม่สนใจการสนทนาเหล่านี้เมื่อลูกชายของเธอ อายุก่อนวัยเรียนฉันจำตัวเองได้จากภาพถ่ายเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว เธอแค่อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ในไม่ช้าซินดี้ก็ค้นพบว่าชายในภาพซึ่งไรอันเรียกว่า "จอร์จ" คือดาราภาพยนตร์จอร์จ ราฟต์ที่เกือบจะลืมไปแล้ว

คนที่ไรอันจำตัวเองได้นั้นยังไม่ชัดเจนสำหรับซินดี้ ซินดี้เขียนถึงทักเกอร์ ซึ่งเธอพบที่อยู่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย ภาพถ่ายผ่านเขาไปในที่เก็บภาพยนตร์ซึ่งหลังจากค้นหามาหลายสัปดาห์ปรากฎว่าชายที่ดูเศร้าหมองยังคงเป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก Martin Martyn ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในเครดิตของภาพยนตร์เรื่อง "Night after กลางคืน."

ทัคเกอร์ไม่ได้บอกครอบครัวฮามอนส์เกี่ยวกับการค้นพบของเขาเมื่อเขามาเยี่ยมพวกเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แต่เขาวางรูปถ่ายขาวดำของผู้หญิงสี่รูปไว้บนโต๊ะในครัว โดยสามรูปเป็นการสุ่ม ทัคเกอร์ถามไรอันว่าเขาจำผู้หญิงคนหนึ่งได้ไหม Ryan ดูรูปถ่ายแล้วชี้ไปที่รูปถ่ายของผู้หญิงที่เขารู้จัก

มันคือภรรยาของมาร์ติน มาร์ติน ไม่นานต่อมา ครอบครัว Hamons และ Tucker เดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกสาวของ Martyn ซึ่งถูกพบโดยบรรณาธิการของสารคดีโทรทัศน์เกี่ยวกับ Tucker ก่อนที่จะพบกับไรอัน ทัคเกอร์ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ลังเลที่จะพูดในตอนแรก แต่ในระหว่างการสนทนา เธอสามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันเรื่องราวของไรอัน

ไรอันบอกว่า "เขา" เต้นในนิวยอร์ก มาร์ตินเป็นนักเต้นที่บรอดเวย์ ไรอันบอกว่าเขายังเป็น "สายลับ" และคนที่เขาทำงานด้วยได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ในความเป็นจริง Martyn ทำงานเป็นเวลาหลายปีหลังจากอาชีพของเขาในฐานะนักเต้นให้กับเอเจนซี่ฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงซึ่งสร้างนามแฝงที่สร้างสรรค์ ไรอันยังอธิบายด้วยว่าที่อยู่เก่าของเขามีคำว่า "ร็อค" อยู่ในชื่อ

Martyn อาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbury Drive ใน Beverly Hills ไรอันยังเผยด้วยว่าเขารู้จักชายคนหนึ่งชื่อวุฒิสมาชิกไฟว์ ลูกสาวของมาร์ตินยืนยันว่าเธอมีรูปถ่ายของพ่อของเธอกับวุฒิสมาชิกเออร์วิงก์ ไอฟส์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1947 ถึง 1959 ใช่แล้ว Martyn มีลูกชายสามคนซึ่งแน่นอนว่าลูกสาวรู้ชื่อนี้ แต่การพบปะของเธอกับไรอันไม่เป็นไปด้วยดี

แม้ว่าไรอันจะยื่นมือไปหาเธอ แต่ก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแม่ตลอดการสนทนาที่เหลือ ต่อมาเขาอธิบายให้แม่ของเขาฟังว่าพลังของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไป หลังจากนั้นแม่ของเขาอธิบายให้เขาฟังว่าผู้คนเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาโตขึ้น “ฉันไม่อยากกลับไป (ไปฮอลลีวูด)” ไรอันอธิบาย “ฉันแค่อยากจะออกจากครอบครัว (ของฉัน) นี้”

สำหรับ สัปดาห์หน้า Ryan พูดถึงฮอลลีวูดน้อยลง ทัคเกอร์อธิบายว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้พบกับครอบครัวที่พวกเขาเชื่อว่าเคยเป็น “สิ่งนี้ดูเหมือนจะยืนยันความทรงจำของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็สูญเสียความเข้มข้นไป ฉันคิดว่าพวกเขาตระหนักแล้วว่าไม่มีใครในอดีตกำลังรอพวกเขาอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เด็กบางคนเศร้า

แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับและหันความสนใจไปที่ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง พวกเขาใส่ใจกับความจริงที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่และตอนนี้ - และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ

แปลโดย Alena Ivanova

ดังที่คุณทราบ ในศาสนาตะวันออกหลายศาสนา มีแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด - การวิญญาณย้ายถิ่นฐาน

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือความทรงจำไม่ได้ถูกลบออกจากความทรงจำเสมอไป ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าส่วนใหญ่มักเริ่มเกิดในเด็กอายุสองถึงห้าปี

กษัตริย์จาก Khorezm โบราณ

ดังนั้น I. Semenova บางคนจึงเล่าเรื่องต่อไปนี้เกี่ยวกับ Nikita ลูกชายของเธอ เมื่อเด็กชายอายุเกินสองขวบ เย็นวันหนึ่งสามีของเธอเริ่มแต่งนิทานให้เขาและเชิญลูกชายเลือกชื่อตัวละครหลักด้วยตัวเอง เขาจึงเรียกชื่อทันทีว่ากนิก ต่อมาท่านก็กล่าวถึงเรื่องนี้กับกณิกาบ่อยๆ เมื่อพ่อแม่ของเขาเริ่มถามเขาว่าชายคนนี้เป็นใคร เด็กก็อธิบายอย่างละเอียดว่ากนิกเป็นราชา เขาขี่ม้าด้วยดาบและในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง... เขาฆ่าเขา นิกิตะ!

พ่อแม่คิดว่ามันแปลก พวกเขาตัดสินใจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกนิกาบนอินเทอร์เน็ต - จะเกิดอะไรขึ้นถ้าครั้งหนึ่งเขามีอยู่จริง? ลองนึกภาพความประหลาดใจของพวกเขาเมื่อปรากฎว่าใน Khorezm โบราณครั้งหนึ่งเคยมีผู้ปกครองชื่อ Kanik! เขาอาศัยอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และบนอินเทอร์เน็ตก็มีรูปเหรียญที่มีรูปกนิกสลักอยู่ด้วย!

อยากรู้ว่าตอนที่นิกิต้าพูดถึงคณิกาเขาไม่เปลี่ยนรายละเอียดเหตุการณ์เลย ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะสามารถสร้างเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นได้ โดยทั่วไปแล้วเรื่องราวของเขาใกล้เคียงกับสิ่งที่ทราบเกี่ยวกับผู้ปกครองในสมัยโบราณ

เมื่ออายุได้สามขวบ เด็กชายก็ลืมเรื่องกนิกาไปแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด Nikita ชอบเล่นสงคราม เมื่ออายุเจ็ดขวบ เขาปั้นทหารจากดินเหนียว "ติด" พวกเขาด้วยหอกและดาบจากเศษไม้ และ "นำพวกเขาเข้าสู่สนามรบ" แต่รถยนต์และรถไฟที่พ่อแม่ของเขาซื้อนั้นกลับไม่สนใจเขาเลย ตอนนี้เขาเล่นอย่างกระตือรือร้นโดยมีอคติ "ทหาร" ด้วย

ความทรงจำแห่งความตาย

แรงผลักดันให้เกิด “ความทรงจำของการจุติเป็นมนุษย์ในอดีต” มักเป็นเหตุการณ์หรือความประทับใจบางอย่าง ดังนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งขณะเดินทางในรถกับแม่ เห็นแสงสะท้อนบนกระจก จึง "จำ" ได้ทันทีว่าครั้งหนึ่งเธอเคยขับรถข้ามสะพานที่ส่องแสงแวววาวพอๆ กับแสงแดด แล้วจมน้ำตายลงไปในแม่น้ำ ...

ในฟอรัมออนไลน์แห่งหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอเริ่มร้องไห้และกรีดร้องเมื่อพบเธอในร้าน ผู้ชายที่ไม่รู้จัก- พ่อแม่ตกใจต้องรีบพาลูกออกไป เมื่อขึ้นรถ เด็กหญิงเล่าว่า คนที่เห็นในร้านเคยพาเธอไปจาก “แม่คนแรก” แล้วซ่อนเธอไว้ใต้พื้น หลังจากนั้นเธอก็หลับไปนานและตื่นขึ้นมาพร้อมกับ “อีกคน” แม่." นางเอกขอซ่อนไว้ใต้แผงหน้าปัดไม่ให้คนแปลกหน้าเจอ...

ชายคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าแม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ เขาบอกว่าเขาตายในกองไฟเมื่อนานมาแล้ว เมื่อตอนเป็นเด็ก ฮีโร่มักกลัวที่จะอยู่ใกล้เปลวไฟและกลัวในบ้านด้วย

ผู้ใช้รายอื่นรายงานว่าตอนเป็นเด็กเขา น้องสาวเดินไปรอบ ๆ บ้านพร้อมรูปถ่ายของคุณยายทวดในมือและพูดซ้ำวลี: “ฉันคิดถึงคุณฮาร์วีย์” ย่าทวของเธอเสียชีวิตก่อนที่เธอจะเกิด เด็กหญิงยังกล่าวถึงสิ่งที่คุณยายทวดของเธอเคยพูดถึงด้วย

ผู้ใช้อีกคนบอกว่าน้องสาวของเขาเล่าเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับ “ครอบครัวในอดีต” ของเธอตั้งแต่อายุ 2-4 ขวบ เธอเลยเล่าว่าญาติยัดสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในตัวเธอ ทำให้เธอร้องไห้ แล้ว “พ่อ” ก็เผาเธอ แล้วเธอก็มีครอบครัวใหม่...

นี่เป็นอีกเรื่องราวที่น่าสนใจ: “พี่สาวของฉันเกิดในปีที่แม่ของพ่อฉันเสียชีวิต ดังที่พ่อของฉันพูด ทันทีที่น้องสาวของฉันพูดคำแรกได้ เธอก็พูดว่า “ฉันเป็นแม่ของคุณ”

ผู้หญิงคนนั้นเล่าว่าตอนที่ลูกชายของเธออายุได้ 3 ขวบ เขาบอกว่าเขาชอบ "พ่อใหม่" ของเขามาก และพ่อคนก่อนก็ตีเขาข้างหลังจนเสียชีวิต “พ่อใหม่ของฉันจะไม่ทำแบบนี้กับฉันเด็ดขาด” เด็กน้อยกล่าวเสริม

ลูกชายของหญิงอีกคนหนึ่งอายุห้าหรือหกขวบพูดกับเธอว่า “ก่อนที่ฉันจะเกิดที่นี่ ฉันยังมีน้องสาวอยู่เหรอ? ตอนนี้เธอและแม่อีกคนของฉันอายุมากแล้ว ฉันหวังว่าพวกเขาจะโอเคเมื่อรถถูกไฟไหม้”

ตามที่ชายคนหนึ่งเล่า เมื่อเขาและภรรยากำลังอาบน้ำลูกสาววัยสองขวบครึ่ง จู่ๆ เธอก็พูดประโยคต่อไปนี้: “แต่ไม่มีใครจับฉันได้เลย บางคนพยายามแล้วในคืนหนึ่ง พวกเขาพังประตูและพยายาม แต่ฉันก็สู้กลับ ฉันตายแล้วและตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่”

วิญญาณเลือก...

เรามักจะได้ยินวลีที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้ถูกเลือก” เป็นเช่นนี้หรือไม่? ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้คนหนึ่งในฟอรัมกล่าวว่าลูกชายของเธอ อายุสองถึงหกขวบ ชอบเล่าเรื่องที่เขาเลือกเธอเป็นแม่ให้เธอฟัง ตามที่เด็กบอก เขาอยู่ในห้องที่มีแสงสว่าง โดยมีชายคนหนึ่งสวมชุดสูท ฝั่งตรงข้ามมีคนยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตา และคนแปลกหน้าชวนเขาเลือกแม่ของเขา เด็กชายชี้ไปที่คนที่ต่อมากลายเป็นแม่ของเขาจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงแต่ตัวเองเท่านั้น

นอกจากนี้ ลูกชายของผู้หญิงคนนี้ยังสนใจเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างมาก เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นซึ่งไม่มีอยู่ในแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ พ่อแม่ของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเครื่องบิน ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยว่าเขาได้ข้อมูลนี้มาจากไหน

เรื่องราวต่อไปนี้คล้ายกับเรื่องก่อนหน้ามาก: “เมื่อหลานชายของฉันเรียนรู้ที่จะเรียบเรียงคำเป็นประโยค เขาบอกน้องสาวและสามีของเธอว่าเขาดีใจมากที่เลือกพวกเขา เขาอ้างว่าก่อนเขาจะเป็นเด็ก เขาเห็นผู้คนมากมายอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างจ้า ซึ่งเขา "เลือกแม่ของเขา เนื่องจากเธอมีหน้าตาที่อ่อนหวาน"

ซึ่งหมายความว่าคุณยังมีทางเลือกในการจุติครั้งต่อไป บางทีอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่เราเกิดมาในตระกูลหนึ่ง ท่ามกลางคนบางกลุ่ม และสุดท้ายก็เกิดในเปลือกกายอย่างใดอย่างหนึ่ง...

“เมื่อระลึกถึงความตายของตนเอง หลายๆ คนได้รับความมั่นใจในชีวิต พวกเขาไม่กลัวความตายอีกต่อไป พวกเขาตระหนักว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ สำหรับทุกคน ความทรงจำแห่งความตายเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจ โดยให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา” “ถ้าพลังงานไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าและไม่หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่จิตวิญญาณของเราคือพลังงานและ พลังชีวิต- นี่คือพลังงาน แล้วทำไมไม่ปล่อยให้กลับชาติมาเกิดล่ะ? ในเมื่อไม่มีพลังงานตาย ทำไมเราไม่เปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงต่อไปล่ะ” ข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ "Children's Past Lives" ของ American Carol Bowman สองตอนจะกำหนดอารมณ์ของคุณในหัวข้อนี้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นนักสัจนิยม 100% และไม่มีอะไรมากไปกว่าความสนใจธรรมดาๆ ที่คุณเป็น หรือคุณเป็น ในทางที่ดีอยากรู้. ถึงกระนั้น ก็คงจะไม่มีใคร เกือบจะไม่มีใคร ที่อย่างน้อยก็เป็นครั้งคราว อย่างน้อยก็ผ่านไป โดยไม่สงสัยว่าความคิด ความรู้สึก ความรู้สึก ประสบการณ์ โลกภายในทั้งหมดของฉันจะเป็นอย่างไรหลังจากการตายของฉัน...

วันก่อนมีข้อความเกี่ยวกับการค้นพบนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษอีกครั้งผ่านทุกช่องทาง: จิตสำนึกของเราไม่ได้ตายไปพร้อมกับความตายทางร่างกายของเรา บางคนมั่นใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน บางคนเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามหาเงินสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมในลักษณะนี้ และปรากฏการณ์เดจาวูที่แปลเป็นภาษารัสเซียอย่างแท้จริง - "เห็นแล้ว"? มักเกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย และค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา ราวกับว่าอยู่ภายใต้ชั้นของชีวิตที่มีความกังวลและปัญหาต่างๆ และช่วงเวลาที่สดใสจะเกิดขึ้นเมื่อเสียง กลิ่น บางสิ่ง หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตัดขาดจากความเป็นจริงในทันที ราวกับว่าคุณถูกส่งไปยังที่ที่คุณเคยอยู่ครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่น่าทึ่ง! ประสบการณ์ของเดจาวูนั้นสมจริงเกินกว่าจะมองข้ามไป

คุณเคยฟังเรื่องราวแปลกๆ ของเด็กน้อยวัย 2-5 ขวบบ้างไหม? วันหนึ่ง ลูกชายของเพื่อนของฉัน (ตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่อายุไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ) เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าเขาพบกระเป๋าเงินข้างถนนได้อย่างไร สิบห้าปีผ่านไป และฉันไม่สามารถลืมเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญนี้ได้ เรื่องราวมีรายละเอียดมาก กระเป๋าเงินวางอยู่ข้างถนน โรยด้วยหินเล็กๆ สีน้ำตาล มีรอยแตก และมีเหรียญโบราณอยู่ในนั้น ฉันจำได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งพูดว่า: "เพ้อฝันอีกแล้ว..." และนี่คือสิ่งที่แครอล โบว์แมนเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กที่ถูกจินตนาการหลงใหลสร้างความเป็นจริงชั่วคราวที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของเขา: ตอนนี้เขาเป็นทหาร และเพียงไม่กี่นาทีเขาก็เป็นหมอหรือกษัตริย์ ความทรงจำในอดีตคือความเป็นจริงที่สม่ำเสมอพร้อมรายละเอียดที่ละเอียดและแท้จริง เธอมั่นใจว่าแม่ที่รู้จักลูกของเธอดีสามารถแยกแยะระหว่างจินตนาการและความทรงจำในอดีตได้ และลูกชายวัย 4 ขวบของเธอได้รับแรงผลักดันในการค้นคว้าวิจัย จู่ๆ เขาก็มีอาการฮิสทีเรียรุนแรงระหว่างดูดอกไม้ไฟ จากนั้นเขาก็เริ่มบอกว่าเขาเป็นทหาร ตามที่ได้ชี้แจงในภายหลัง สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา แครอลศึกษาการศึกษาบางส่วนในหัวข้อการกลับชาติมาเกิดและรวบรวมข้อเท็จจริงจำนวนมาก

ลีอาห์ เด็กหญิงวัย 2 ขวบกำลังนั่งรถร่วมกับแม่ในที่นั่งสำหรับเด็กแบบพิเศษและมองออกไปนอกหน้าต่าง บนสะพานข้ามหุบเขาลึก เธอพูดอย่างชัดเจนและมั่นใจ: “แม่ ที่นี่ทำให้ฉันนึกถึงสถานที่ที่ฉันเสียชีวิตมาก” ผู้เป็นแม่ถึงกับหยุดรถและถามคำถามสองสามข้ออย่างระมัดระวัง และนี่คือสิ่งที่ฉันได้ยิน: “รถตกจากสะพานลงแม่น้ำ ฉันไม่ได้สวมเข็มขัดและฉันก็บินลงไปในน้ำ ฉันนอนอยู่บนโขดหินและเห็นสะพานด้านบนที่ส่องแสงระยิบระยับในดวงอาทิตย์ และฟองสบู่ที่ลอยขึ้นไปด้านบน” ผู้เป็นแม่ตกตะลึง ลูกสาวตัวน้อยของเธอไม่เคยเห็นฟองในน้ำเลย เป็นเวลาประมาณหนึ่งปีที่ลีอาห์แทบไม่คิดถึงการเสียชีวิตของเธอและกังวลเรื่องเข็มขัดนิรภัยอยู่เสมอ

เด็กปวดหู เล่าว่าถูกรถบรรทุกคันใหญ่ชนกลางถนนเสียชีวิต เด็กหญิงวัย 2 ขวบได้รับสุนัขของเล่น เธอเล่าด้วยความตื่นเต้นมากว่าสุนัขทำให้เธอนึกถึงสุนัขที่เธอเคยมี นั่นก็คือ Muff หญิงสาวพูดถึงบ้านสีเทาสี่หลังอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแม่ของเธอ "ใน กระโปรงยาว- “จินตนาการ” ของเธอดูขัดขืนเกินไปสำหรับพ่อแม่ของเธอ และวันหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นถามว่าทำไมเธอถึงไม่ใช่เด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ริมทางรถไฟ เขาถูกรถไฟชนบนรางรถไฟเสียชีวิต เธอยังตั้งชื่อเมืองฮาร์วาร์ดและนามสกุลเบ็นสันด้วย ปรากฎว่าอยู่ไม่ไกล และวันหนึ่ง ครอบครัวก็มุ่งหน้าไปที่นั่น ความเป็นจริงสอดคล้องกับคำอธิบายที่เด็กให้ไว้ ครอบครัว Bensons ถูกพบในหนังสือของคริสตจักร อันที่จริงในปี พ.ศ. 2418 พวกเขามีเด็กชายคนหนึ่ง แต่หกปีต่อมาการเอ่ยถึงเขาก็หายไป

“การสืบสวน” โดย ดร.เอียน สตีเวนสัน

แต่ข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับความทรงจำของเด็ก ๆ ในอดีตนั้นมาจากอินเดีย ซึ่งปรากฏในสื่อเป็นระยะ ๆ และมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ แต่จะเพิ่มเติมในภายหลัง

สวาร์นลาตา มิชรา เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2491 เมื่อเธออายุได้ 3 ขวบ ขับรถร่วมกับพ่อผ่านเมืองกัตนีซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอไปหลายร้อยไมล์ เธอก็ชี้ไปทางด้านข้างแล้วขอให้คนขับเลี้ยวไปทาง “บ้านของเธอ” จากนั้นรายละเอียดอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏ ซึ่งพ่อของฉันจดบันทึกไว้ ชื่อของหญิงสาวในชีวิตนั้นคือบิยา เธอเล่าถึงบ้านของเธอทั้งภายในและภายนอก ทางรถไฟและเตาเผาปูนขาวโรงเรียน เธอเสียชีวิตด้วยอาการ “เจ็บคอ” และจำชื่อแพทย์ได้ ข่าวลือเกี่ยวกับ Swarnlata แพร่กระจาย และวันหนึ่งสามี ลูกชาย และน้องชายของ Biya ตัวจริง ซึ่งเสียชีวิตในปี 1939 ก็มาถึงบ้านของครอบครัวของเธอ และตอนนั้นเธออายุ 10 ขวบ Swarnlata จำพี่ชายของเธอได้ทันทีและเรียกเขาว่า "Babu" อย่างสนิทสนมตามที่เธอเรียกเขาในชีวิตนั้น เด็กหญิงอายุสิบขวบจำสามีของบิยาและลูกชายของเธอได้ ซึ่งมีอายุสิบสามปีในขณะที่เธอเสียชีวิต พวกเขาพยายามโค่นเธอลงโดยแอบอ้างเป็นคนอื่น แต่เธอก็ยืนหยัดได้ สวาร์นลาตาเตือนเธอ อดีตสามีก่อนสิ้นพระชนม์ นางได้ถวายเงินกล่องละสองพันรูปีแก่พระองค์ และมันก็เป็นความจริง ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เด็กหญิงคนนั้นก็ถูกนำตัวไปที่บ้านที่บิยาอาศัยและเสียชีวิต เธอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที โดยถามถึงเชิงเทิน ต้นไม้ซึ่งไม่มีอยู่แล้ว เธอจำและตั้งชื่อคนมากกว่ายี่สิบคนจากญาติและเพื่อนของบิยาด้วยอารมณ์ที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ของพวกเขา Swarnlata เติบโตขึ้นมา สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย แต่งงาน และยังคงติดต่อกับครอบครัวของ Biya

ปรากฏการณ์อินเดียมากขึ้น ราวี วัย 4 ขวบบอกพ่อแม่ของเขาว่าเขาคือมุนนา ลูกชายของช่างตัดผม เขาเล่าอย่างละเอียดว่าชายสองคน ช่างตัดผมอีกคน และคนทำความสะอาดหน้าต่างล่อให้เขาเข้าไปในสวน ตัดคอและฝังเขาไว้ในทรายได้อย่างไร “จินตนาการ” เหล่านี้เริ่มรบกวนคนที่เขารัก และเด็กชายยังขู่ว่าจะหนีไป “ไปหาครอบครัวอื่น” ข่าวลือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ธรรมดานี้ไปถึงพ่อของมุนนาตัวจริง พวกเขาพบกันและเด็กชายจำเขาได้ จำของเล่นของเขาได้ นาฬิกาที่พ่อของเขาซื้อให้เขาที่เมืองบอมเบย์ ราวีเกิดมาพร้อมกับแถบพาดยาวไปตามความยาวของคอ คล้ายกับแผลเป็นยาวจากบาดแผลถูกมีด อายุมากขึ้นก็เริ่มลดลง และราวีเองเมื่ออายุสิบแปดปีก็จำอะไรไม่ได้เลยอีกต่อไปและรู้ความทรงจำของเขาจากเรื่องราวของคนที่เขารักเท่านั้น เด็กหญิงชัมลินีกรีดร้องเมื่อมีคนพยายามอาบน้ำให้เธอ และร้องไห้อย่างบ้าคลั่งขณะเดินทางบนรถบัส หลังจากเรียนรู้ที่จะพูด เธอบอกว่าเธอถูกรถบัสชนขณะเดินไปตามเขื่อนในช่วงน้ำท่วม

ข้อเท็จจริงของอินเดียรวบรวมโดยจิตแพทย์ Ian Stevenson, MD ซึ่ง Carol Bowman ศึกษาผลงานของเขา เมื่อเผชิญหน้ากับหลักฐานความทรงจำในชีวิตในอดีตของเด็ก เขาจึงเดินทางไปอินเดียในปี พ.ศ. 2504 เพื่อสอบสวนคดีหนึ่งที่ทราบกันดี สามปีต่อมามีมากกว่าสี่ร้อยคน นวัตกรรมของดร. สตีเวนสันคือการที่เขาหันไปหาเด็กเล็กเพื่อรับหลักฐานการกลับชาติมาเกิด ความทรงจำของเด็กนั้นบริสุทธิ์ ไม่เหมือนกับของผู้ใหญ่ ไม่ถูกแตะต้องด้วยประสบการณ์ทางโลก ไม่แปดเปื้อนจากหนังสือและโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์ เอียน สตีเวนสันจำกัดงานวิจัยของเขาไว้เพียงความทรงจำที่เกิดขึ้นเองเท่านั้น โดยไม่มีการสะกดจิตหรือสิ่งกระตุ้นอื่นใด เช่นเดียวกับนักสืบ สตีเวนสันตั้งเป้าหมายในการแก้ไขคดีและยืนยันคดี (การตรวจสอบ - การตรวจสอบความจริง การสร้างความน่าเชื่อถือ) เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด เขาใช้บริการของนักแปลสองหรือสามคน บันทึกลงในเทป รวบรวมหลักฐานเชิงสารคดี สร้างลำดับเหตุการณ์ของความทรงจำ รับเฉพาะคำให้การของพยาน ไม่ใช่ของมือสอง ดำเนินการ "สอบปากคำ" ของเด็ก, สมาชิกในครอบครัว, ญาติของบุคคลก่อนหน้า - คำที่ใช้กำหนดผู้เสียชีวิต เขาพิจารณาตรวจสอบเฉพาะกรณีที่สามารถอธิบายได้อย่างไม่ต้องสงสัยด้วยความทรงจำในชาติที่แล้วเท่านั้น มีประมาณเก้าร้อยคนในเอกสารสำคัญของเขา ทำไมเคสส่วนใหญ่มาจากอินเดีย? บางทีความจริงก็คือประเทศนี้เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมาโดยตลอด นั่นคือสาเหตุที่พ่อแม่ไม่ถือว่าความทรงจำเกี่ยวกับเด็กๆ นั้นเป็น "จินตนาการของเด็ก" พวกเขาฟังเด็กและพบเขาครึ่งทางหากเขาต้องการไปยังสถานที่แห่งชีวิตที่แล้ว

ดร. สตีเวนสันได้พิสูจน์แล้วหรือยังว่าการกลับชาติมาเกิด - การกลับชาติมาเกิดของจิตวิญญาณไปสู่อีกร่างหนึ่ง - มีอยู่จริงหรือไม่? ตัวเขาเองยืนยันว่าเขาได้รวบรวมหลักฐานสนับสนุนการกลับชาติมาเกิด แต่เขาไม่เคยบอกว่าได้รับการพิสูจน์แล้ว จุดยืนของเขา: นี่คือหลักฐานสำหรับคุณแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง แครอล โบว์แมนไม่ได้ปกปิดความจริงที่ว่าเธอเชื่อในความเป็นจริงของความทรงจำในอดีต คุณสมบัติทั่วไปของพวกเขาคืออะไร?

ฟังลูกด้วยหัวใจและจิตวิญญาณของคุณ

อันแรกนั้นไม่ธรรมดา อายุยังน้อยเมื่อเด็ก ๆ เริ่มจดจำตัวเองในรูปของบุคลิกก่อนหน้านี้: ระหว่างสองถึงห้าปีหรือเร็วกว่านั้นทันทีที่พวกเขาเริ่มเขียนวลีแรก ๆ ต่อมาความทรงจำก็จางหายไป ตกสู่จิตใต้สำนึก และจางหายไปราวกับความฝันในยามเช้า คุณลักษณะที่สองคือโรคกลัว (ความกลัว) ในเด็กที่มีความทรงจำที่เด่นชัดเกี่ยวกับชาติที่แล้ว เด็กมากกว่าหนึ่งในสามมีความกลัวเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตในชีวิตนั้น ถ้าบุคลิกเดิมตายไปใต้ล้อรถบรรทุก เด็กก็จะกลัวรถ ถ้าจมน้ำก็กลัวน้ำ ความกลัวความสูงและความกลัวเครื่องบินสัมพันธ์กับการล้ม การค้นพบของดร. สตีเวนสันยืนยันสิ่งที่นักจิตอายุรเวทสงสัย: การเสียชีวิตในอดีตทำให้เกิดอาการหวาดกลัวในปัจจุบัน ลักษณะที่สามคือความสำคัญของช่วงเวลาแห่งความตาย จากการวิจัยของดร. สตีเวนสัน เด็กมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ จำได้ว่าพวกเขาเสียชีวิตอย่างไร และครึ่งหนึ่งมีความรุนแรง ความตายทิ้งรอยประทับไว้ในความทรงจำลึกกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และโดยเฉพาะการตายอย่างรุนแรงเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิดน่ากลัวด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เปรียบเทียบข้อสรุปเหล่านี้กับข้อสรุปของนักจิตอายุรเวทคนอื่น ๆ โดยหันไปหาปรัชญาตะวันออก - โดยเฉพาะพุทธศาสนาฮินดูโดยเฉพาะกับความจริงที่ว่าจิตสำนึกมีอยู่แยกจากร่างกายและดำเนินต่อไปหลังความตาย แนวคิดนี้เป็นเรื่องยากสำหรับคนในวัฒนธรรมยุโรปที่จะเข้าใจ เราได้รับการสอนบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นคือจิตสำนึกที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายและจางหายไปพร้อมกับร่างกาย แต่ตอนนี้แม้ในประเทศที่ปิดใจมายาวนานของเราก็มีผู้สนับสนุนการกลับชาติมาเกิดมากมาย

ดังนั้นหากเรากลับไปสู่ความสำคัญของช่วงเวลาแห่งความตายจากนั้นด้วยการตายอย่างกะทันหันและน่ากลัวบุคคลจะไม่มีเวลาเข้าใจชีวิตและการจากไปของเขา และเขาก็ตายราวกับสร้างไม่เสร็จถูกครอบงำ อารมณ์เชิงลบ- ความกลัว ความเกลียดชัง ความรู้สึกผิด ความโกรธ... ซึ่งหมายความว่าเขาจะจากโลกนี้ไป “พร้อมกับธุระของจิตวิญญาณที่ยังไม่เสร็จ” และถ่ายทอดอารมณ์เหล่านี้โดยไม่มีใครแตะต้องไปยังชีวิตอื่น และที่นั่นเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากความกลัว ประสบการณ์ที่ไม่อาจเข้าใจได้ และกลายเป็นผู้ป่วยจิตแพทย์ เหตุใดความทรงจำในวัยเด็กส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า? เพราะมันขึ้นอยู่กับความเครียดในชาติที่แล้วความตายอันแสนสาหัส มีความสุข ชีวิตที่ยืนยาวการจากไปอย่างสงบสุขสู่อีกโลกหนึ่งไม่ได้นำผู้คนในอีกโลกหนึ่งไปหานักจิตบำบัด

แครอล โบว์แมนสำรวจสิ่งที่เป็นไปได้แล้วจึงเดินหน้าต่อไป เธอตัดสินใจยืนยันว่าความทรงจำในวัยเด็กสามารถรักษาได้ เพื่อนและคนรู้จักของฉันไม่กี่คนที่ยอมรับแนวคิดนี้ ในบางความสงสัยก็มีชัย คนอื่นคิดว่าเธอลืมสามัญสำนึกไปแล้ว (เป็นไปได้ว่าตอนนี้ผู้อ่าน “Evening” กำลังประสบเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน) เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าแครอลเข้าสู่ดินแดนอันตรายที่อาจไม่มีทางหวนกลับได้... แต่แครอลพบคนที่มีใจเดียวกัน ร่วมประชุมสมาคมวิจัยและบำบัดชีวิตในอดีต เธอได้รับเชิญไปชมการแสดงของ Oprah Winfrey ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นเธอก็มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา และเริ่มได้รับจดหมายและโทรศัพท์ที่ขยายและเพิ่มพูนความรู้ของเธอเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดและความเป็นไปได้ในการรักษา ฉันตัดสินใจเขียนหนังสือสำหรับผู้ปกครอง: เพื่อช่วยให้พวกเขารับรู้ความทรงจำที่แท้จริงของลูก ๆ ในชีวิตที่ผ่านมา ถ่ายทอดพวกเขาไปสู่ระดับจิตสำนึก และด้วยเหตุนี้จึงฟื้นตัวจากความกลัวและความซับซ้อน

แครอล โบว์แมนระบุสัญญาณสี่ประการของความทรงจำในอดีตที่มีไว้เพื่อการสื่อสารส่วนตัวกับเด็ก น้ำเสียงที่มั่นใจ เมื่อเด็ก ๆ ไม่รอปฏิกิริยาของพ่อแม่ แต่พูดโดยตรงถึงบางสิ่งที่ไม่มีข้อสงสัยด้วยซ้ำ: มันเกิดขึ้น - แค่นั้นเอง ความไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ความมั่นคงของความทรงจำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดนับตั้งแต่กล่าวถึงครั้งแรกในอดีต เด็กสามารถป้อนรายละเอียดเพิ่มเติมได้ แต่โครงสร้างของเหตุการณ์จะยังคงอยู่เสมอ สัญญาณที่สามคือความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยประสบการณ์ ทันใดนั้นเด็กชายวัย 1 ขวบครึ่งก็บอกว่าเขาเสียชีวิตขณะเล่นสเก็ต เขาล้มหัวกระแทกน้ำแข็ง และเขาตั้งชื่อเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งแม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังไม่รู้ แต่พวกเขาพบเมืองนี้บนแผนที่ ทันใดนั้นเด็กก็เริ่มพูดด้วยคำและวลีในภาษาที่เข้าใจยากซึ่งเขาไม่ได้ยินในชีวิตนี้ด้วยซ้ำในภาษาอราเมอิก แต่ฟังเมื่อสองพันปีก่อน สัญญาณที่สี่คือความสอดคล้องของพฤติกรรมกับชาติที่แล้ว เด็กน้อยเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนักบินของเครื่องบินลำเล็กเป็นครั้งแรก เขาตรวจสอบแผงหน้าปัด กดปุ่ม และแป้นเหยียบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขารู้ว่าทุกอย่างเปิดขึ้นได้อย่างไร

ผู้ปกครองไม่ควรเพิกเฉยหรือหัวเราะกับคำพูดและพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สงบสติอารมณ์ แสดงความสนใจ รับทราบความจริงของเรื่องราวของเด็ก แม้ว่าจู่ๆ คุณจะได้ยินว่า “ตอนที่ฉันอยู่กับแม่อีกคน ฉันยังเป็นเด็ก” พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ลูกของคุณพยายามแสดงออก แครอลแนะนำ ไม่จำเป็นต้องถามคำถามว่า "ทำไม" คำนี้บังคับให้เด็กแสวงหาคำอธิบายหรือการตีความและขัดขวางการไหลของความทรงจำ และคุณต้องแสดงความสนใจอย่างจริงใจอย่างแน่นอน สิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทารกเจาะลึกเข้าไปในความทรงจำของเขา ธีมชีวิตในอดีตไม่จำเป็นต้องเป็นเชิงลบ เด็กสามารถจดจำคุณยายที่รักของเขาจากชาติก่อนได้และสิ่งนี้จะทำให้เขาอบอุ่น สิ่งสำคัญคือต้องปล่อยให้เด็กชายหรือเด็กหญิงแสดงอารมณ์ของตนออกมาจนถึงที่สุด ผู้ปกครองสังเกตว่าจู่ๆ ลูกก็เงียบลงกลางเกมโดยจ้องมองราวกับเป็นกระจกมองบางสิ่งที่มองเห็นได้เพียงลำพัง นี่คือจุดเริ่มต้นที่สามารถเริ่มต้นได้ เป็นไปได้ว่าทั้งน้ำตาตีโพยตีพาย หรือแม้กระทั่งลาออกโดยสมบูรณ์ ลูกชายพูดว่า: “ฉันถูกยิงเสียชีวิต” จากนั้นเขาก็มองไปที่แม่ของเขาและตะโกนด้วยเสียงโกรธดัง: “คุณไม่ได้ช่วยฉัน!” และเขาก็พูดซ้ำหลายครั้ง คุณต้องให้ความมั่นใจกับเด็กชายอย่างอ่อนโยนและมั่นใจ: “ไม่ใช่ฉันที่นั่น แต่เป็นแม่อีกคน” แล้วบางทีเขาอาจจะบอกคุณว่าเกิดอะไรขึ้น อารมณ์จะทะลักออกมา ความรู้สึกด้านลบจะถูกลืม

แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเสนอหนังสือที่เต็มไปด้วย เป็นจำนวนมากข้อเท็จจริง ผู้เขียนแนะนำ: จดทุกสิ่งที่ลูกของคุณพูด ไม่ใช่แค่คำพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้าด้วย การบันทึกเป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจความคิดของคุณและประสบการณ์ของลูก คุณอาจค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างความทรงจำในวัยเด็กกับลักษณะบุคลิกภาพของลูกชายหรือลูกสาวของคุณ... มีคำแนะนำมากมาย ฉันแน่ใจว่าบางคนจะคิดว่าเมื่อทำเช่นนี้คุณต้องทำงาน หาเลี้ยงชีพ เราไม่ใช่คนอเมริกันประเภทที่ได้รับค่าตอบแทนดี นี่คือที่ที่แม่สามารถนั่งกับลูกได้ แล้วเราจะไปสู่ชาติก่อนได้ที่ไหน ถ้าเพียงแต่เราทนได้ในชีวิตนี้ และโดยทั่วไปแล้ว ทั้งหมดนี้คือ "ดินแดนอันตราย" คำตอบของคุณคืออะไร? หากคุณกำลังเตรียมลูกให้มีชีวิตตามปกติและมองว่านี่เป็นเป้าหมายหลักประการหนึ่ง คุณก็จะต้องหาเวลาและความเอาใจใส่อยู่เสมอ คุณค่าของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่การค้นหาชีวิตในอดีตด้วยซ้ำ แต่อยู่ที่ความสามารถในการฟังเด็กๆ ด้วยจิตวิญญาณและหัวใจ ซึ่งแครอล โบว์แมนแสดงให้เห็น