อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร สุขภาพของผู้หญิง

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวไว้ อาการแพ้เริ่มเกิดขึ้นในเด็กในขณะที่อยู่ในครรภ์ สาเหตุหนึ่งคือการแพ้อาหารหรือซ่อนเร้นการแพ้อาหารในแม่ระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร มันแสดงออกไม่เพียงแต่ในปฏิกิริยาการแพ้ทั่วไปเท่านั้น การแสดงอาการแพ้อาหารที่ซ่อนอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์อาจรวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคไตในหญิงตั้งครรภ์ (อาการบวมน้ำ เพิ่มขึ้น ความดันโลหิตโปรตีนในปัสสาวะ) และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ลูกของมารดาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีประสบการณ์มากกว่า โรคภูมิแพ้, รอยโรคปริกำเนิด ระบบประสาทเพิ่มขึ้นด้วย ความดันในกะโหลกศีรษะพวกเขาป่วยบ่อยขึ้น ดังนั้นหลังคลอดบุตรปัญหาไม่สิ้นสุด: ส่งต่อไปยังเด็ก

ผู้หญิงที่ประสบปัญหาตามรายการข้างต้นในระหว่างตั้งครรภ์จะต้องรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ โดยยกเว้นสารก่อภูมิแพ้ เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ช็อคโกแลต ไข่ ถั่ว น้ำผึ้ง ฯลฯ
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นขอแนะนำให้ใช้ วันอดอาหาร- แอปเปิ้ล kefir ฯลฯ เพื่อกำจัดภาวะครรภ์เป็นพิษ การจำกัดอาหารเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังจะต้อง การรักษาด้วยยา- สตรีมีครรภ์ในกลุ่มเหล่านี้ควรแยกเนื้อรมควัน น้ำส้มสายชู ผักดอง และอาหารรสเผ็ดออกจากอาหารของตน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงเท่านั้น เคล็ดลับทั่วไปซึ่งไม่ได้คำนึงถึงการไม่ยอมรับผลิตภัณฑ์บางอย่างของแต่ละบุคคล แต่ ปฏิกิริยาการแพ้สามารถปรากฏบนผลิตภัณฑ์ใด ๆ แม้แต่แอปเปิ้ลและ kefir

ให้กับสาวๆที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม มีความเสี่ยงสูงการคลอดบุตรที่มีพยาธิสภาพภูมิแพ้จำเป็นต้องได้รับการทดสอบพิเศษซึ่งพิจารณาว่ามีอยู่ในเลือดของแอนติบอดี Ig G4 สำหรับอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเกิดขึ้นในร่างกายเพื่อตอบสนองต่ออาหาร
พวกมันจะถูกส่งไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางรกและมีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของภูมิแพ้ในเด็ก เมื่อปริมาณแอนติบอดีเกินระดับหนึ่งเราสามารถพูดถึงการแพ้อาหารบางประเภทหรือ โรคภูมิแพ้ที่ซ่อนอยู่- เมื่อคำนึงถึงความเบี่ยงเบนส่วนบุคคลเหล่านี้ หญิงตั้งครรภ์จะได้รับอาหารกำจัดที่เหมาะสม

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้หญิงที่ครอบครัวมีอาการแพ้: ตัวเธอเอง สามี หรือลูกคนโต หากสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งมีอาการแพ้อาจเสี่ยงต่อการพัฒนา พยาธิวิทยาภูมิแพ้ในเด็กคือ 20 - 40% และหากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 70%

การทดสอบดังกล่าวจะต้องดำเนินการโดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ, ความดันโลหิตสูง, ขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานรวมถึงโรคกำเริบของระบบทางเดินปัสสาวะ ( โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังและ pyelonephritis)
โดยปกติหากผู้หญิงดังกล่าวได้รับการตรวจที่เหมาะสมและปฏิบัติตามอาหารที่กำหนดร่วมกับการรักษาด้วยไวรัสและยาลดความอ้วน (ถ้าจำเป็น) พวกเขาจะกำจัดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกที่มีสุขภาพดี
ในระหว่างให้นมบุตร ผู้หญิงควรรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้หากลูกแสดงอาการแพ้อาหาร

ขอแนะนำให้ยกเว้นไขมันและ อาหารทอด- ปริมาณของเหลวที่ดื่มต่อวันควรมีอย่างน้อย 1.5 - 2 ลิตร ทางที่ดีควรดื่มแบบอ่อนๆ ชาเขียวปราศจากสารปรุงแต่งอะโรมาติกใดๆ น้ำแร่ไม่มีแก๊ส น้ำแอปเปิ้ลปราศจากน้ำตาลและสารกันบูดเจือจางลงครึ่งหนึ่งด้วย น้ำต้มสุก(แนะนำให้ใช้น้ำผลไม้ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ อาหารทารก) ผลไม้แช่อิ่มแห้ง

ขอแนะนำให้ทำลูกชิ้นเนื้อทอดในเตาอบต้มหรือนึ่ง ซุปผักต้องต้มในน้ำ ในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงควรใช้ผักที่สุกตามฤดูกาลเพื่อปรุงรสในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ - เฉพาะผักแช่แข็ง (บวบ, กะหล่ำดอก, บรอกโคลี, กะหล่ำดาว, มันฝรั่งแช่อิ่ม, ถั่วเขียวและถั่วลันเตา); ธัญพืช (บัควีท ข้าว ข้าวโพด ไม่เคลือบ ข้าวเกรียบ) แนะนำให้แช่ไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ในบรรดาผลิตภัณฑ์นมหมัก บิฟิดอค อะซิโดฟิลัส คอทเทจชีสไขมันต่ำ โยเกิร์ตออร์แกนิกไร้สารปรุงแต่ง ชีสแพะไขมันต่ำ และอื่นๆ ที่ไม่รุนแรง พันธุ์ไขมันต่ำชีส (มากถึง 17%), kefir ไขมัน 1% จำนวนผลิตภัณฑ์นมหมักที่บริโภคต่อวันควรเท่ากับ 500 กรัม แนะนำให้เติมนมไขมัน 0.5% ลงในชาเท่านั้น

พิจารณาวิธีหลักในการป้องกันอาการแพ้ในเด็ก อาหารที่ไม่แพ้ง่ายสำหรับเด็กและมารดาที่ให้นมบุตร ปฏิกิริยาเฉพาะของร่างกายดังกล่าวอาจปรากฏต่ออาหาร ยา ฝุ่น และขนของสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ สิ่งสำคัญคือต้องยกเว้นการเกิดอาการแพ้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร

อาการแพ้เกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคในปริมาณมาก ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้- แผนโภชนาการสำหรับเด็กห้ามมิให้บริโภค:

1. น้ำนม.สามารถทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้แม้ในปริมาณที่น้อย ในบางกรณีบุคคลอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ที่มีนม: kefir, คอทเทจชีส;
2. ซีเรียลผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้หลัก: ข้าวโพด, ข้าว, ข้าวไรย์, ข้าวสาลี;
3. - นอกจากไข่แล้ว. รูปแบบบริสุทธิ์ไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ ไข่ขาว: ซอส ขนมอบ พาสต้าบางชนิด
4. ถั่ว;
5. อาหารทะเล- ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้หลักคือปลา เพื่อให้แน่ใจว่าไอโอดีนเข้าสู่ร่างกายคุณสามารถแทนที่ด้วยบัควีทหรือลูกพลับสด

ผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ต่ำช่วยให้ผู้คนมี มีความเสี่ยงสูงการเกิดอาการแพ้ควรรับประทานให้ถูกวิธีและปลอดภัยต่อสุขภาพ นักโภชนาการสร้างเมนูโดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ สตรีมีครรภ์ และมารดาที่ให้นมบุตร

อาหาร “ปลอดภัย” สำหรับอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้:

• โยเกิร์ตโฮมเมดและคอทเทจชีส
• ไก่, เนื้อวัว;
• ตับลิ้น;
• ธัญพืช: ข้าวโอ๊ต, ข้าวบาร์เลย์มุก;
• สินค้าทั้งหมด ต้นกำเนิดของพืชสีเขียว.

อาหารสำหรับเด็ก

อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับเด็กเป็นวิธีการหลักในการต่อสู้กับปฏิกิริยาที่ไม่เฉพาะเจาะจงของร่างกาย โดยเฉพาะ กรณีที่ยากลำบากการยกเว้นสารก่อภูมิแพ้ออกจากเมนูเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ แต่ยังสามารถนำข้อจำกัดที่เข้มงวดกว่านี้มาใช้ได้

ประการแรก การระบุสารก่อภูมิแพ้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการทำเช่นนี้คุณจะต้องส่ง การทดสอบที่จำเป็นและเริ่มรายการพิเศษ ไดอารี่อาหาร- ในนั้นผู้ปกครองจะป้อนทุกสิ่งที่ทารกกินในระหว่างวันอย่างแน่นอน ต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 30 วัน จากนั้นแพทย์ที่เข้ารับการรักษาจะแจ้งว่าจำเป็นต้องทำต่อไปหรือไม่จากข้อมูลเหล่านี้ มีการรวบรวมอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่ไม่เฉพาะเจาะจง ขอแนะนำให้ปฏิบัติตามเป็นเวลาอย่างน้อย 6-7 เดือน

การเกิดอาการแพ้อาหารในทารกไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องงดอาหารบางชนิดไปตลอดชีวิต นักโภชนาการที่มีความสามารถให้คำแนะนำในการแนะนำอาหารใหม่ ๆ ในเมนูของทารก แต่ในปริมาณเล็กน้อยไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง

อาหารสำหรับโรคผิวหนัง

โรคผิวหนังภูมิแพ้ – การอักเสบเฉพาะเกิดขึ้นได้ทุกวัย อาการ:

• ความแห้งกร้านและผลัดใบ ผิว;
• ผื่นขึ้น ส่วนต่างๆร่างกาย;
• รอยแดง

อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับโรคผิวหนังภูมิแพ้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการรักษา โภชนาการที่จัดอย่างเหมาะสมเป็นการป้องกันที่ดีเยี่ยม คุณต้องแยกอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้สูงทั้งหมดออกจากอาหารของคุณ: นม ไข่ ช็อคโกแลต ปลา ผลิตภัณฑ์จากพืชที่มีสีสันสดใส เลิกหรือลดการบริโภคให้เหลือน้อยที่สุดน้ำตาลทราย

และเกลือทอดรมควันเผ็ด ในการรักษาโรคผิวหนังภูมิแพ้ โภชนาการตามระบบ ADO ก็มีความสำคัญเช่นกัน

การรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับโรคผิวหนังไม่ได้ห้ามการลองรับประทานอาหาร "ใหม่" คุณเพียงแค่ต้องตรวจสอบสภาพของผิวหนังและผื่นที่เกิดขึ้น หากรอยแดงและอาการคันแย่ลง คุณควรรับประทานยาแก้แพ้ทันที

อาหารสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร เมื่อคลอดบุตรแล้วผู้เป็นแม่ควรรู้ระดับสูง ภูมิคุ้มกันเกิดจากการให้อาหารทารกนมแม่

- อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับมารดาที่ให้นมบุตรถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโภชนาการ หากทารกแรกเกิดมีอาการแพ้ กุมารแพทย์แนะนำให้ผู้เป็นแม่พิจารณาอาหารของเธออีกครั้งเช่นเดียวกับอาการจุกเสียด เมนูควรมีความสมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ ก่อนอายุครบ 1 ขวบ เด็กต้องการอะไรมากมาย สารที่มีประโยชน์.

ดังนั้นคุณแม่จึงควรรับประทานเนื้อสัตว์คุณภาพสูง ผัก ผลไม้ ซีเรียล เนย นม ผลิตภัณฑ์นมหมักแม้ว่าผู้หญิงจะทำตามแผนอาหาร แต่เมนูก็ควรมีความหลากหลาย มีความสามารถ

• การป้องกันทั่วไป
• การเกิดภูมิแพ้จะช่วยปกป้องสุขภาพของลูกน้อยได้
• ช็อคโกแลตทุกประเภท
• ส้ม;
• การอนุรักษ์;
• หมัก; ไส้กรอก;สินค้าที่มี

เนื้อหาสูง

ซาฮาร่า

อาหารสำหรับลมพิษ

อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับลมพิษจะต่อสู้กับอาการอักเสบของผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาการต่างๆ เช่น คัน แดง และผิวแห้ง จะค่อยๆ “หายไป”

นักโภชนาการแนะนำอย่างยิ่งให้ไม่รวมอาหารรมควัน รสเผ็ด น้ำหมัก ช็อคโกแลต ผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารรสเค็มออกจากอาหารของคุณ

หากอาการกำเริบลดลงอย่างรวดเร็ว ควรค่อยๆ ใส่ธาตุอาหารข้างต้นลงในเมนูสัปดาห์ละครั้ง แพทย์จะกำหนดอาหารที่เข้มงวดสำหรับการแพ้ในช่วงเริ่มต้นของการรักษา จากนั้นจึงอนุญาตให้ขยายรายการผลิตภัณฑ์ได้ โดยจะให้คำแนะนำเป็นรายบุคคล

เมนูทรีทเมนท์ 7 วัน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นที่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้นั้นได้รับการคัดเลือกเป็นรายบุคคลสำหรับแต่ละคน มีเมนูทั่วไปประจำสัปดาห์สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้:

1 วัน

อาหารเช้า - โจ๊กพร้อมผลไม้สีเขียวผลไม้แช่อิ่มอาหารกลางวัน - ซุปปรุงสุก น้ำซุปผัก, เนื้อไม่มีไขมัน, เยลลี่, อาหารเย็น - ซีเรียลกับชิ้นเนื้อ เนื้อไม่ติดมัน, kefir ไขมันต่ำ

วันที่ 2

อาหารเช้า - โจ๊กผลไม้, ผลไม้แช่อิ่ม, อาหารกลางวัน - พาสต้า, ปรุงรสด้วยเนยและน้ำตาล, ซุปพร้อมน้ำซุปเบา ๆ , อาหารเย็น - สตูว์ผัก, เยลลี่ไม่หวาน

วันที่ 3

อาหารเช้า - ขนมปังปิ้งพร้อมชีส, ผลไม้แช่อิ่ม, อาหารกลางวัน - สตูว์, ซุป, กล้วย, อาหารเย็น - โจ๊กพร้อมเนื้อ, เยลลี่

4 วัน

อาหารเช้า - หม้อตุ๋นชีสกระท่อม, ชา, อาหารกลางวัน - ซุปผัก, เนื้อนึ่งชิ้น, อาหารเย็น - โจ๊กกับน้ำตาล โคลสลอว์ส, kefir.

5 วัน

อาหารเช้า - คอทเทจชีส, ผลไม้แช่อิ่ม, อาหารกลางวัน - ซุปผัก ชิ้นละ เนื้อสัตว์, แอปเปิ้ลเขียวอาหารเย็น – โจ๊กบัควีท ผักตุ๋นผลไม้แช่อิ่ม

วันที่ 6

อาหารเช้า - โจ๊กกับเนย, ชีส, ผลไม้แช่อิ่ม, อาหารกลางวัน - กะหล่ำปลีพร้อม, อาหารเย็น - มันฝรั่งต้มหรืออบ, เยลลี่

วันที่ 7

อาหารเช้า - ซุปนม, ผลไม้แช่อิ่ม, อาหารกลางวัน - ซุปข้าวบาร์เลย์, ผักตุ๋น, ชา, อาหารเย็น - สลัดผัก, เจลลี่

สูตรอาหารแสนอร่อย

เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ คุณสามารถเตรียมอาหารตามสูตรอาหารต่อไปนี้:

• หม้อตุ๋นนมเปรี้ยว

คุณจะต้อง: คอทเทจชีสครึ่งกิโลกรัม, น้ำตาล, ไข่ (สีขาว), เซโมลินา, ลูกเกด ผสมใส่ในพิมพ์ที่เคลือบด้วยครีมหรือเนย อบประมาณ 30-35 นาที

• แอปเปิ้ลกับเนื้อ

คุณจะต้องการ: แอปเปิ้ลเขียว, เนื้อไม่ติดมัน, หัวหอม ผสมหัวหอมและเนื้อ สับและเติมเกลือ ตัดหัวใจของแอปเปิ้ลออกแล้วยัดเข้าไป วางในกระทะ เติมน้ำซุป อบประมาณ 40-45 นาที

• ชิ้นเนื้อนึ่ง

คุณจะต้อง: เนื้อสับ, หัวหอม, ขนมปัง ผสมส่วนผสมทั้งหมด ปั้นเป็นชิ้นทอด ปรุงในหม้อต้มสองชั้นเป็นเวลา 30-40 นาที

เมื่อสั่งอาหารเสริมและอาหารให้กับเด็กด้วย แพ้อาหารควรปฏิบัติตามหลักการต่อไปนี้:

1) เป็นอาหารเสริมมื้อแรก แนะนำน้ำผลไม้และน้ำซุปข้นจากแอปเปิ้ลและลูกแพร์ที่ไม่มีน้ำตาล

2) เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ก่อภูมิแพ้ค่อนข้างต่ำ

3) ให้ความสำคัญกับน้ำผลไม้ซีเรียลผลไม้ผักและผลิตภัณฑ์เนื้อกระป๋องสำหรับการผลิตทางอุตสาหกรรมสำหรับเด็กโดยเฉพาะเนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตโดยใช้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย- ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีองค์ประกอบที่รับประกัน มีทางชีวภาพสูงและ คุณค่าทางโภชนาการมีวิตามินครบถ้วน สะดวกต่อการใช้งาน และมีให้เลือกหลากหลายที่ช่วยให้คุณกระจายอาหารของลูกน้อยได้ เมื่อเลือกเนื้อสัตว์กระป๋องและผลิตภัณฑ์จากเนื้อผักจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมเพิ่มเติม สารออกฤทธิ์, น้ำซุป, เครื่องเทศ, เกลือ อนุญาตให้ใช้แป้งในปริมาณขั้นต่ำเท่านั้น

4) ค่อยๆเพิ่มปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ

5) รวมอาหารและจานในอาหารของเด็กอย่างสม่ำเสมอ อาหารเสริมชนิดแรกอาจเป็นส่วนประกอบเดียว (นั่นคือเตรียมจากผักประเภทหนึ่ง) น้ำซุปข้นหรือโจ๊กด้วยน้ำ

6) เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับการให้อาหารเสริมครั้งแรกจำเป็นต้องคำนึงถึงด้วย สภาพทั่วไปเด็กและ สถานะการทำงานของเขา ระบบย่อยอาหาร- หากทารกมีแนวโน้มที่จะท้องเสีย ควรให้โจ๊กเป็นอาหารเสริมมื้อแรกที่ดีที่สุด และหากทารกมีแนวโน้มที่จะท้องผูก ควรให้น้ำซุปข้นผักแก่เขา

สำหรับ องค์กรที่เหมาะสมเมื่อให้อาหารเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหาร อันดับแรกจำเป็นต้องระบุอาหารที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในตัวเขา จากนั้นจึงพัฒนาอาหารแต่ละมื้อสำหรับเขา โดยพื้นฐานแล้วควรเป็นอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่ไม่เฉพาะเจาะจง ควรแยกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ออกจากผลิตภัณฑ์โดยมีเงื่อนไขว่าผลิตภัณฑ์ที่เด็กบริโภคยังคงสม่ำเสมอ สารอาหารที่จัดตั้งขึ้น มาตรฐานอายุและเขา ความต้องการทางสรีรวิทยา- อาหารเพื่อการกำจัดนี้มักจะถูกกำหนดไว้เป็นระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือน

ขณะควบคุมอาหาร คุณต้องจดบันทึกอาหารหรือเข้ารับการบำบัด การตรวจสุขภาพ- หลังจากที่อาการภูมิแพ้เด่นชัดน้อยลงหรือหายไปโดยสิ้นเชิง อาหารของทารกจะค่อยๆ ขยายออกไป โดยหลีกเลี่ยงการรวมผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่มีนัยสำคัญซึ่งระบุสาเหตุไว้ในอาหารของทารก และหากเป็นไปได้ ให้แทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ที่คล้ายกัน คุณค่าทางโภชนาการเพื่อให้โภชนาการของทารกยังคงเพียงพอ และการบังคับควบคุมอาหารจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา การพัฒนาทางกายภาพ- ให้เราทำซ้ำอีกครั้ง: อาหารใด ๆ สำหรับเด็กควรได้รับการสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้นและในขณะที่มีการปฏิบัติตามทารกควรอยู่ภายใต้การดูแลของเขา

อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์และ ให้นมบุตร

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวไว้ อาการแพ้เริ่มเกิดขึ้นในเด็กในขณะที่อยู่ในครรภ์ สาเหตุหนึ่งคือการแพ้อาหารหรือซ่อนเร้นการแพ้อาหารในแม่ระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร มันแสดงออกไม่เพียงแต่ในปฏิกิริยาการแพ้ทั่วไปเท่านั้น อาการแสดงของการแพ้อาหารที่ซ่อนอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์อาจรวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคไตในการตั้งครรภ์ (อาการบวมน้ำ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โปรตีนในปัสสาวะ) และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เด็กของมารดาดังกล่าวมักมีอาการแพ้, รอยโรคปริกำเนิดของระบบประสาทโดยมีความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นและพวกเขาก็ป่วยบ่อยขึ้น ดังนั้นหลังคลอดบุตรปัญหาไม่สิ้นสุด: ส่งต่อไปยังเด็ก

ผู้หญิงที่ประสบปัญหาข้างต้นในระหว่างตั้งครรภ์จะต้องรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้โดยไม่รวมสารก่อภูมิแพ้: ผลไม้รสเปรี้ยว, ช็อคโกแลต, ไข่, ถั่ว, น้ำผึ้ง ฯลฯ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นขอแนะนำให้ใช้วันอดอาหาร - แอปเปิ้ล kefir ฯลฯ เพื่อกำจัดภาวะครรภ์เป็นพิษ การจำกัดอาหารเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ จะต้องมีการรักษาด้วยยาด้วย สตรีมีครรภ์ในกลุ่มเหล่านี้ควรแยกเนื้อรมควัน น้ำส้มสายชู ผักดอง และอาหารรสเผ็ดออกจากอาหารของตน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงคำแนะนำทั่วไปที่ไม่คำนึงถึงการแพ้ผลิตภัณฑ์บางอย่างของแต่ละบุคคลและอาจเกิดอาการแพ้ได้กับผลิตภัณฑ์ใด ๆ แม้แต่แอปเปิ้ลและคีเฟอร์

ผู้หญิงเหล่านั้นที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคภูมิแพ้จะต้องผ่านการทดสอบพิเศษเพื่อตรวจสอบการมีอยู่ในเลือดของแอนติบอดี Ig G4 ในอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ซึ่งสร้างขึ้นในร่างกายเพื่อตอบสนองต่ออาหาร พวกมันจะถูกส่งไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางรกและมีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของภูมิแพ้ในเด็ก เมื่อจำนวนแอนติบอดีเกินระดับหนึ่งเราสามารถพูดถึงการแพ้อาหารบางประเภทหรือการแพ้ที่ซ่อนอยู่ได้ เมื่อคำนึงถึงความเบี่ยงเบนส่วนบุคคลเหล่านี้ หญิงตั้งครรภ์จะได้รับอาหารกำจัดที่เหมาะสม

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้หญิงที่ครอบครัวมีอาการแพ้: ตัวเธอเอง สามี หรือลูกคนโต หากสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งเป็นภูมิแพ้ ความเสี่ยงในการเกิดพยาธิสภาพภูมิแพ้ในเด็กคือ 20–40% และหากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 70%

การทดสอบดังกล่าวจะต้องดำเนินการโดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ, ความดันโลหิตสูง, เบาหวานขณะตั้งครรภ์ตลอดจนในกรณีของโรคระบบทางเดินปัสสาวะกำเริบ (โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังและ pyelonephritis) โดยปกติหากผู้หญิงดังกล่าวได้รับการตรวจที่เหมาะสมและปฏิบัติตามอาหารที่กำหนดร่วมกับการรักษาด้วยไวรัสและยาลดความอ้วน (ถ้าจำเป็น) พวกเขาจะกำจัดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกที่มีสุขภาพดี

ในระหว่างให้นมบุตร ผู้หญิงควรรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้หากลูกแสดงอาการแพ้อาหาร องค์ประกอบของอาหารดังกล่าวแสดงไว้ในตาราง 10.

ตารางที่ 10

อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับมารดาที่ให้นมบุตร

ตารางที่ 10 (ต่อ)

ขอแนะนำให้แยกอาหารที่มีไขมันและอาหารทอดออกจากอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ของมารดาที่ให้นมบุตร ปริมาณของเหลวที่คุณดื่มต่อวันควรมีอย่างน้อย 1.5–2 ลิตร ที่ดีที่สุดคือดื่มชาเขียวอ่อน ๆ โดยไม่มีสารอะโรมาติกใด ๆ น้ำแร่ น้ำแอปเปิ้ลที่ไม่มีน้ำตาลและสารกันบูด เจือจางครึ่งหนึ่งด้วยน้ำต้ม (แนะนำให้ใช้น้ำผลไม้ที่ออกแบบมาสำหรับอาหารทารกโดยเฉพาะ) ผลไม้แช่อิ่ม

ขอแนะนำให้ทำลูกชิ้นเนื้อทอดในเตาอบต้มหรือนึ่ง ซุปผักต้องต้มในน้ำ ในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ควรใช้ผักที่สุกตามฤดูกาลในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เฉพาะผักแช่แข็งเท่านั้น (บวบ ดอกกะหล่ำ บรอกโคลี กะหล่ำดาว มันฝรั่งแช่ ถั่วเขียว และถั่วลันเตา) แนะนำให้แช่ซีเรียล (บัควีท ข้าว ข้าวโพด คอร์นเฟลกไม่เคลือบ) เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

ในบรรดาผลิตภัณฑ์นมหมัก แนะนำให้ใช้บิฟิดอก็อก อะซิโดฟิลัส คอทเทจชีสไขมันต่ำ โยเกิร์ตชีวภาพที่ไม่มีสารปรุงแต่ง ชีสแพะไขมันต่ำ และชีสไขมันต่ำชนิดอ่อนอื่นๆ (มากถึง 17%) และเคเฟอร์ไขมัน 1% ปริมาณรวมของผลิตภัณฑ์นมหมักที่บริโภคต่อวันควรเป็น 500 กรัม แนะนำให้เติมนมที่มีไขมัน 0.5% ลงในชาเท่านั้น

โรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการตั้งแต่วัยเด็กและมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการแพ้ในครรภ์ของมารดาและส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับโภชนาการของสตรีมีครรภ์

โรคภูมิแพ้ (คำแปลโดยประมาณจากภาษากรีกนี้คือ "ปฏิกิริยาอื่น") คือการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยา (เจ็บปวด) ในความไวของร่างกายและปฏิกิริยาของมันเมื่อสัมผัสกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายในบางอย่าง - สารก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทาง ระบบทางเดินหายใจ, อวัยวะย่อยอาหาร, ทางผิวหนังและเยื่อเมือก, ผ่านทางเลือด (กรณีแพ้วัคซีน) แม้แต่แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราขนาดเล็กมากก็สามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้

เหตุใดจึงเกิดอาการแพ้?

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แพทย์ทั่วโลกสังเกตเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ อาการแพ้- จากกรณีแยกไปจนถึงโรคร้ายแรงตลอดชีวิต - ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุน่าจะมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่ง สารเคมีในชีวิตของเรา คุณภาพอาหารในการเลี้ยงปศุสัตว์ และปุ๋ยในการผลิตพืชผล มลพิษ สิ่งแวดล้อมซึ่งเด่นชัดโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และด้วยความพร้อมที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารจากละติจูดภูมิอากาศอื่น ๆ เช่น ผลไม้เมืองร้อน อาหารทะเล เครื่องปรุงรสที่แปลกใหม่ไม่ต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารเคมีต่างๆ เช่น สารกันบูด สีย้อม และสารปรุงแต่งรส

การป้องกันที่เร็วที่สุด

ทุกคนรู้ดีว่าการป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในภายหลัง นี่เป็นเรื่องจริงในหลาย ๆ ด้านสำหรับการแพ้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันความเป็นอิสระจากอาการแพ้ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ที่จะลดความเสี่ยงของการพัฒนา นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดของทารกเกิดอาการแพ้ อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่เลือกสรรมาอย่างเหมาะสมสำหรับทารกเป็นสิ่งจำเป็นและเข้าใจได้ แต่การป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้จะต้องเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนเกิด และแน่นอน ในช่วงระยะเวลาการให้นม นมแม่- แมสต์เซลล์พิเศษที่เรียกว่ามีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาโรคภูมิแพ้ซึ่งเมื่อพวกเขาพบกับสารก่อภูมิแพ้ที่ "คุ้นเคย" จะปล่อยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพพิเศษ - ฮิสตามีนและในทางกลับกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งในร่างกาย ชื่อ “ภูมิแพ้”. ดังนั้นการทำความคุ้นเคยกับแมสต์เซลล์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ (การแพ้นั่นคือการทำให้ร่างกายของเด็กเกิดปฏิกิริยาที่ไม่ถูกต้อง - การแพ้ - ต่อผลิตภัณฑ์อาหารใด ๆ ) จึงเป็นไปได้แม้อยู่บนเวที การพัฒนามดลูก- กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ตัวแม่เองไม่แพ้ ผลิตภัณฑ์นี้โภชนาการ ดังนั้นเด็กที่มีการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในครรภ์จึงได้เตรียมพร้อมสำหรับโรคภูมิแพ้แล้ว เช่นการเกิดในเด็กด้วย การให้อาหารตามธรรมชาติการแพ้โปรตีน นมวัวเกี่ยวข้องกับ งานอดิเรกที่มากเกินไปคุณแม่ยังสาวกับนมและผลิตภัณฑ์จากนมทั้งในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเธอหรือพ่อของเด็กมีอาการแพ้ (และโรคภูมิแพ้ทุกรูปแบบมีความสำคัญ: ต่อขนสัตว์ ฝุ่น พืชดอก ไม่ใช่แค่อาหาร) ให้ปฏิบัติตาม อาหารที่ไม่แพ้ง่าย ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคือสิ่งที่ถูกต้อง อาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับ ไตรมาสสุดท้ายการตั้งครรภ์

ห้ามอะไร?

หลักการพื้นฐานของการรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้คือการยกเว้นอาหารที่ส่วนใหญ่มักทำให้เกิดอาการแพ้นั่นคืออาหารที่มีโปรตีนสามารถกระตุ้นการทำงานของแมสต์เซลล์พร้อมกับปล่อยฮีสตามีนเข้าสู่กระแสเลือดในภายหลัง

ควรสังเกตว่ารายละเอียดการแพ้ (รายชื่อสารก่อภูมิแพ้) ของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้แต่ละคนนั้นเป็นรายบุคคล และผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ก็สามารถมีบทบาทนี้ได้ โปรดทราบว่าวิธีการปรุงผลิตภัณฑ์มีผลอย่างมากต่อระดับของสารก่อภูมิแพ้ เช่น เนื้อทอดทำให้เกิดอาการแพ้บ่อยกว่าเนื้อต้ม

โรคภูมิแพ้ข้าม

ในโรคภูมิแพ้มีแนวคิดอยู่ โรคภูมิแพ้ข้ามซึ่งปฏิกิริยาการแพ้ไม่ได้ถูกกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว แต่เกิดจากผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันมาก กล่าวคือ มีสารเหมือนหรือคล้ายกันมาก โครงสร้างทางเคมีสาร อาหารและสารก่อภูมิแพ้ที่ไม่ใช่อาหารที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้ข้ามที่พบบ่อยที่สุดมีดังต่อไปนี้

ไข่ไก่- เนื้อไก่และน้ำซุป ไข่นกกระทาและเนื้อสัตว์ เนื้อเป็ด ซอส ครีม และมายองเนสที่มีส่วนประกอบของไข่ หมอนขนนก ยาบางชนิด (INTERFERON, LYSOZYME, PROPOFOL (DIPRIVAN), วัคซีนบางชนิด)

นมวัว - นมแพะ- ผลิตภัณฑ์ที่มีโปรตีนนมวัว สูตรนม เนื้อวัว เนื้อลูกวัว และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ขนวัว ฯลฯ

ยีสต์ Kefir และ kefir- เชื้อรา, ราพันธุ์ชีส (Roquefort, Brie, Dor-Blue ฯลฯ ) แป้งยีสต์, kvass, ยาปฏิชีวนะ ซีรีย์เพนิซิลลิน, เห็ด.

ปลา- คาเวียร์ อาหารทะเล (ปู กุ้ง ล็อบสเตอร์ ล็อบสเตอร์ หอยแมลงภู่ ฯลฯ) อาหารแห้งสำหรับ ตู้ปลา(แดฟเนีย).

แครอท- ผักชีฝรั่ง ขึ้นฉ่าย โป๊ยกั้ก แอปเปิ้ล มันฝรั่ง ข้าวไรย์ ข้าวสาลี เกสรเบิร์ช อะโวคาโด สับปะรด วิตามินเอ

บีท- ผักโขม, หัวบีทน้ำตาล

มันฝรั่ง- มะเขือยาว, มะเขือเทศ, พริกเขียวและแดง, พริก, ยาสูบ

พืชตระกูลถั่ว- ถั่วลิสง, มะม่วง.

แอปเปิ้ล- ลูกแพร์, ควินซ์, พีช, เนคทารีน, แอปริคอท, พลัม; เกสรของเบิร์ช, ออลเดอร์, บอระเพ็ด

สตรอเบอร์รี่- ราสเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่, ลูกเกด, ลิงกอนเบอร์รี่

พลัม- อัลมอนด์ แอปริคอต เชอร์รี่ เนคทารีน พีช เชอร์รี่ ลูกพรุน แอปเปิ้ล กล้วย - ข้าวสาลี, กีวี, แตง, อะโวคาโด, น้ำยาง, เกสรกล้า

กีวี- กล้วย อะโวคาโด ถั่ว แป้ง (ข้าว บักวีต ข้าวโอ๊ต) งา น้ำยาง เกสรเบิร์ช หญ้าธัญพืช

ถั่วลิสง- ถั่วเหลือง, กล้วย, ผลไม้หิน (พลัม, พีช, แอปริคอท, เนคทารีน, เชอร์รี่หวาน, เชอร์รี่, ลูกพรุน) ถั่วเขียว,มะเขือเทศ,น้ำยาง

เฮเซลนัท- ถั่วชนิดอื่นๆ กีวี มะม่วง แป้ง (ข้าว บักวีต ข้าวโอ๊ต) งา ดอกป๊อปปี้ เบิร์ช และเกสรเฮเซล ธัญพืช - ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าว และเกสรดอกไม้ที่เกี่ยวข้อง พีช - แอปริคอท, น้ำหวาน, พลัม, ฝรั่ง, กล้วย

กระเทียม- หัวหอม, หน่อไม้ฝรั่ง รายการนี้ควรได้รับการศึกษาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษโดยผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะเกิดอาการแพ้ เพื่อปกป้องตนเอง รวมถึงคุณแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเล็กๆ เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับลูกๆ

ถั่ว- ไอศกรีม ขนมหวาน ช็อคโกแลต ลูกอม

ถั่วเหลือง- แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อสับ, ไส้กรอก, ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว, ขนมหวาน, ลูกอม, โกโก้, ยาระงับความรู้สึก PROPOPHOL (DIPRIVAN)

โป๊ยกั๊ก- ขนมหวาน ขนมหวาน น้ำหอม

ยีสต์ - ผลิตภัณฑ์แป้ง, kvass, มายองเนส, ซอสมะเขือเทศ, ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำส้มสายชู

แม่พิมพ์- เชื้อราขนาดเล็กเหล่านี้สามารถปนเปื้อนถั่ว เมล็ดพืช และผลไม้รสเปรี้ยวได้

สารก่อภูมิแพ้ที่ซ่อนอยู่

ในโลกของการแพ้ ยังมีข้อผิดพลาดอีกประการหนึ่ง - สารเหล่านี้เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ซ่อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้และไม่ได้ระบุไว้ในคอลัมน์ "องค์ประกอบ" บนฉลากเสมอไป สิ่งที่อันตรายที่สุดในเรื่องนี้คือถั่ว นม ไข่ และอาหารทะเล อาจมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ที่เราคุ้นเคย:

ไข่- ไอศกรีม ขนมหวาน เนื้อทอด มายองเนส ไส้กรอก ฯลฯ

เนื้อไก่- แฮม ไส้กรอก ฯลฯ

โรคภูมิแพ้เป็นตัวเลข

จากสถิติทางการแพทย์ทั่วโลก เด็ก 6-8% และผู้ใหญ่ 1.5% เป็นโรคแพ้อาหาร และในประเทศที่พัฒนาแล้วมีเพียงประเทศเดียวเท่านั้น โรคผิวหนังภูมิแพ้(โรคผิวหนังภูมิแพ้) ส่งผลกระทบต่อเด็ก 10-28% หากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ในลูกจะสูงถึง 50% ในแง่ของความชุก โรคภูมิแพ้ครองอันดับหนึ่งในบรรดาโรคไม่ติดเชื้อในเด็กเล็ก

สารก่อภูมิแพ้คืออะไร?

ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ (แพทย์ที่ศึกษาและรักษาโรคภูมิแพ้) แยกแยะผลิตภัณฑ์สามกลุ่มตามระดับโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้คำนึงถึง ลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลแต่ละคนแบ่งตามลำดับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ก่อภูมิแพ้สูง ปานกลาง และต่ำ

อาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้สูงเรียกอีกอย่างว่า "สารก่อภูมิแพ้บังคับ"สารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่จำเป็นต้องปล่อยฮีสตามีนเข้าสู่กระแสเลือด แม้ว่าจะบริโภคในปริมาณน้อยก็ตาม เหล่านี้รวมถึง: ไข่, ปลา, อาหารทะเล, คาเวียร์, ข้าวสาลี, ข้าวไรย์, แครอท, มะเขือเทศ, พริกไทย, สตรอเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, ผัก, ผลไม้และผลเบอร์รี่ที่มีสีแดงสดและสีส้ม, ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว, กีวี, สับปะรด, ทับทิม, มะม่วง, ลูกพลับ, กาแฟธรรมชาติ, โกโก้, ช็อคโกแลต, เห็ด, ถั่ว และน้ำผึ้ง

กลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีฤทธิ์ก่อภูมิแพ้โดยเฉลี่ย:นมทั้งหมด เนย, เนื้อวัว, ไก่, บักวีต, ข้าวโอ๊ต, ข้าว, ถั่ว, ถั่ว, ถั่วเหลือง, มันฝรั่ง, หัวบีท, พีช, แอปริคอต, แครนเบอร์รี่, ลิงกอนเบอร์รี่, กล้วย, เชอร์รี่แดงเข้ม, บลูเบอร์รี่, แบล็คเคอร์แรนท์ และโรสฮิป

ผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ต่ำ:ผลิตภัณฑ์นมหมัก, เนื้อกระต่าย, เนื้อไก่งวง, หมูไม่ติดมัน, เนื้อแกะไม่ติดมัน, เนยบริสุทธิ์, ข้าวฟ่าง, ข้าวบาร์เลย์มุก, ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี, บวบ, สควอช, แตงกวา, แอปเปิ้ลเขียวและลูกแพร์, ลูกเกดขาวและแดง, ผักชีฝรั่งและผักชีฝรั่ง

เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ สารเคมีเจือปนทุกชนิดในผลิตภัณฑ์อาหาร พวกเขายังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ สิ่งที่อันตรายที่สุดจากมุมมองนี้คือวัตถุเจือปนอาหารต่อไปนี้:

สารกันบูด:

• กรดซอร์บิก (E 200-203);
• กรดเบนโซอิกและอนุพันธ์ของมัน (E 210-219)
• ซัลไฟต์และอนุพันธ์ของซัลไฟต์ (E 220-227)
• ไนไตรต์ (E 249-252)

สารต้านอนุมูลอิสระ:

• บิวทิล ไฮโดรนิโซล (E 321)

สีผสมอาหาร:

• ทาร์ทราซีน (E 102);
• สีเหลืองส้ม S (E 110);
• อะโซรูบีน (E 122);
• ผักโขม (E 123);
• คอชีเนียลสีแดง (E 124);
• อีรีโธรซีน (E 127);
• เพชรถม BN (E 151);
• แอนนาตโต (E 160)

สารปรุงแต่งรส:

• โมโนโซเดียมกลูตาเมต (E 621);
• โพแทสเซียมกลูตาเมต (E 622);
• แคลเซียมกลูตาเมต (E 623);
• แอมโมเนียมกลูตาเมต (E 624);
• แมกนีเซียมกลูตาเมต (E 625)

เลือกอาหารอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงความต้องการในการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของทารกและลักษณะทางสรีระของมารดาทำให้สามารถให้สตรีมีครรภ์ได้หลากหลาย อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการพร้อมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้และ โรคเรื้อรังธรรมชาติของการแพ้ในลูกของเรา

• น้ำซุป หมัก อาหารรสเค็มและเผ็ด อาหารรมควัน อาหารกระป๋องและเครื่องเทศ
• ผลิตภัณฑ์ที่มีสีย้อมและสารกันบูด
• น้ำอัดลม kvass;
• ผลิตภัณฑ์ที่มีฮีสตามีนปลดปล่อย (ผลิตภัณฑ์ที่มีฮีสตามีนหรือจำเป็นต้องปล่อยฮีสตามีนเอง): กะหล่ำปลีดอง, หัวไชเท้า, หัวไชเท้า, ชีสหมัก, แฮม, ไส้กรอก, เบียร์;
• ปลา, ผลิตภัณฑ์ปลา(น้ำซุปปลา ปลากระป๋อง คาเวียร์ ฯลฯ) และอาหารทะเล
• สัตว์ปีก (ห่าน เป็ด ไก่ ฯลฯ );
• ไข่;
• น้ำส้มสายชู, มัสตาร์ด, มายองเนส, มะรุม;
• มะเขือเทศ, มะเขือยาว;
• เห็ด;
• ผลไม้รสเปรี้ยว (ส้ม, มะนาว, ส้มโอ, มะนาว ฯลฯ );
• ถั่ว (เฮเซลนัท, อัลมอนด์, ถั่วลิสง ฯลฯ );
• สตรอเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่ป่า, แตงโม, สับปะรด;
• ช็อคโกแลตและผลิตภัณฑ์ช็อคโกแลต
• กาแฟ.

จำเป็นต้องจำกัด

ผลิตภัณฑ์ที่ควรจำกัดการบริโภคเฉพาะสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรที่มีแนวโน้มเป็นโรคภูมิแพ้:

• นมสด (ใช้ได้เฉพาะกับโจ๊กและชาเท่านั้น)
• ครีมเปรี้ยว (สามารถเพิ่มได้เฉพาะกับอาหารจานร้อนและสลัดเท่านั้น)
• เบเกอรี่และ พาสต้าจากแป้งพรีเมี่ยมและ เซโมลินา;
• ลูกกวาดขนมหวาน

สามารถบริโภคได้

หากคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ คุณสามารถรับประทาน:

• ซุป (ผักมังสวิรัติและซีเรียล);
• เนื้อสัตว์ (เนื้อวัวไขมันต่ำ, หมู, เนื้อกระต่าย, เนื้อไก่งวงในรูปแบบต้ม, สตูว์, และในรูปแบบด้วย ทอดไอน้ำ);
• ผลิตภัณฑ์นมหมัก (คอทเทจชีส, นมเปรี้ยว, kefir, bifidokefir, bifidok, acidophilus, โยเกิร์ตที่ไม่มีสารปรุงแต่งผลไม้ ฯลฯ );
• โจ๊ก (บัควีท, ข้าวโอ๊ตรีด, ข้าวโพด, ข้าว ฯลฯ );
• ผักและผลไม้สีเขียวขาว: มีสีและ กะหล่ำปลีขาว, บวบ, สควอช, แตงกวา, แอปเปิ้ลและลูกแพร์สีเขียว, ผักชีฝรั่ง, ผักชีฝรั่ง;
• ขนมปังโฮลวีตเกรด 2 ข้าวไรย์ "Darnitsky";
• เครื่องดื่ม (ชา, ผลไม้แช่อิ่ม, เครื่องดื่มผลไม้ลูกเกดสีแดงหรือสีขาว);
• เนย, มะกอก, ทานตะวัน (เป็นอาหารเสริม)

ใน ปีที่ผ่านมามีการบันทึกจำนวนอาการแพ้ในหญิงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่คือการอำนวยความสะดวก ปัจจัยลบซึ่งรวมถึงความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทั่วโลก วิถีชีวิตที่ตึงเครียด และรูปแบบโภชนาการที่ไม่ดี จำนวนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคภูมิแพ้จากสาเหตุต่างๆ อยู่ที่ประมาณ 25% และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้หญิง ปรากฏการณ์นี้สร้างความไม่สะดวกและไม่สบายอย่างมาก ดังนั้นจึงควรรู้ว่าเหตุใดการแพ้จึงเป็นอันตรายต่อสตรีมีครรภ์ (เป็นอันตรายหรือไม่) จะควบคุมได้อย่างไรและควรหลีกเลี่ยง

การแพ้คือความสามารถทางพันธุกรรมของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่คือปฏิกิริยาเฉพาะของร่างกายต่อการบุกรุกของสารแปลกปลอมซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ สารระคายเคืองอาจเป็นสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายหรือเยื่อเมือกของเรา สภาพแวดล้อมภายนอก- สำหรับคนส่วนใหญ่ การตอบสนองอย่างมากจะไม่เกิดขึ้น แต่หากมีความบกพร่องทางพันธุกรรม การตอบสนองนั้นจะแสดงออกมา ปฏิกิริยาทางพยาธิวิทยาถึงสารก่อภูมิแพ้ ทุกสิ่งสามารถทำหน้าที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ได้ เช่น อาหาร สารคัดหลั่งจากแมลง ขนและอุจจาระของสัตว์เลี้ยง ฝุ่น ขนสัตว์ หรือแม้แต่ปลาในตู้ปลา

แม้ว่าอาการแพ้ระหว่างตั้งครรภ์จะมีอาการ "ไม่สะดวก" หลายอย่างร่วมด้วย แต่จริงๆ แล้วอาการเหล่านี้ไม่ใช่โรค นี่เป็นเพียงปฏิกิริยาที่ไม่ถูกต้องของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารระคายเคืองซึ่งถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย ในระหว่างตั้งครรภ์ ปฏิกิริยานี้อาจแสดงออกมารุนแรงมากขึ้น (อาการแพ้เฉียบพลัน) หรือในทางกลับกัน อาจทุเลาลงหากอาการแพ้ก่อนตั้งครรภ์เกิดขึ้นอย่างถาวร

สถิติบอกว่าอย่างไร ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้หญิงที่เป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นหกเท่า กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 18 ถึง 24 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี

การพัฒนาภาวะภูมิแพ้เกิดขึ้นในสามขั้นตอน:

1. สารก่อภูมิแพ้จะเข้าสู่ร่างกายก่อน ร่างกายมนุษย์- เซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นและเริ่มสร้างแอนติบอดีต่อ " แขกที่ไม่ได้รับเชิญ"ต่อหน้าหนังสือ เครื่องสำอาง และสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ แอนติบอดีจับกับเซลล์ภูมิคุ้มกันเสาและรอการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ครั้งใหม่
2. สารระคายเคืองจะเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งและสัมผัสกับแมสต์เซลล์ซึ่งในการตอบสนองจะผลิตสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ - ฮิสตามีน พวกเขาคือคนที่ทำให้เกิดอาการอักเสบจากการแพ้และมีอาการตามมาทั้งหมด
3. ภายใต้อิทธิพลของสารออกฤทธิ์ หลอดเลือดจะขยาย บวมและอักเสบ ใน กรณีที่รุนแรงเกิดอาการช็อกจากภูมิแพ้

สาเหตุและประเภทของโรคภูมิแพ้ระหว่างตั้งครรภ์

เป็นไปตามธรรมชาติที่ภูมิคุ้มกันในขณะที่ปฏิสนธิเริ่มลดลงเล็กน้อยเพื่อที่แอนติบอดีของมารดาจะไม่ฆ่าตัวอ่อน หากไม่เกิดขึ้น การตั้งครรภ์จะยุติลงภายใต้อิทธิพล เซลล์ภูมิคุ้มกัน- ดังนั้นสตรีมีครรภ์จึงมีระบบภูมิคุ้มกันที่ละเอียดอ่อนกว่า และจำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องอาหารและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากหญิงตั้งครรภ์มีอาการแพ้ "มีประสบการณ์" ควรรายงานเรื่องนี้ให้แพทย์ทราบตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ารับการตรวจ แต่ในกรณีส่วนใหญ่ การดูแลเป็นพิเศษไม่จำเป็นต้องแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์เนื่องจากมีการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มเติมในระหว่างตั้งครรภ์ ช่วยบรรเทาอาการกำเริบดังกล่าวได้อย่างมาก

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ( โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ) - การอักเสบของเยื่อเมือกที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ สารระคายเคืองหลัก ได้แก่ สปอร์ของเชื้อรา ของเสียจากเห็บและแมลงสาบ ดอกต้นไม้ และละอองเกสรดอกไม้ อาจเป็นตลอดทั้งปีหรือตามฤดูกาล ประเภทนี้รวมถึงไข้ละอองฟาง - ภูมิแพ้ต่อการออกดอกระหว่างตั้งครรภ์ - และ เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้(เปลือกตาแดงและมีน้ำตาไหลมาก)

อาการ:

• อาการคันอย่างรุนแรงในจมูกและกล่องเสียง;
• ความรู้สึกดมกลิ่นลดลง
• จามที่ไม่สามารถควบคุมได้
• หายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน;
• อาการน้ำมูกไหลเรื้อรัง
• มีน้ำไหลออกจากจมูกมากมาย
• ความแออัดของจมูกหายใจลำบาก
• หลอดลมอักเสบ

น่าสนใจ! 90% ของผู้ที่เป็นโรคไข้ละอองฟางก็มีอาการแพ้อาหารเช่นกัน

โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (allergodermatoses) เกิดจากการสัมผัสกับครัวเรือน สารเคมี, ผลิตภัณฑ์อาหาร,เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขอนามัย,โลหะ ปรากฏโดยตรงเมื่อสัมผัสผิวหนังกับสารก่อภูมิแพ้หรือหลังจากการดูดซึมเข้าสู่สารก่อภูมิแพ้ ระบบทางเดินอาหาร- ซึ่งรวมถึงลมพิษ ติดต่อโรคผิวหนังและ diathesis แบบหลั่งออกมา

อาการ:

• อาการคันอย่างรุนแรงของผิวหนัง;
• ผื่นต่างๆ
• ตุ่มน้ำ
• บวม;
• การปอกเปลือกและความแห้งกร้าน
• การเปลี่ยนแปลงรูปแบบผิวหนัง

การแพ้อาหาร - มีผื่นและบวมจากการตอบสนองต่ออาหารบางชนิด: ปลาและอาหารทะเล โปรตีนนม (แลคโตส) เห็ด ถั่ว ไข่ ผลไม้รสเปรี้ยว ฯลฯ อาการอาจเกิดขึ้นได้แม้ในระหว่างการเตรียมผลิตภัณฑ์เหล่านี้

อาการ:

• อาการบวมน้ำของ Quincke;
• ปวดท้อง;
• คลื่นไส้อย่างรุนแรง
• อาเจียน;
• กลาก;
• ไมเกรน;
• ลมพิษ;
• ช็อกจากภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้แมลง - เกิดจากแมลงและสัตว์กัดต่อย (ตัวต่อ, แมลงเต่าทอง, เพลี้ยอ่อน, เห็บ, ยุง, ผีเสื้อกลางคืน ฯลฯ )

อาการ:

• บวมบริเวณที่ถูกกัด;
• ความอ่อนแอ;
• การหายใจไม่ออก;
• ความดันโลหิตลดลง
• สีแดงของผิวหนัง;
• อาการบวมของกล่องเสียง;
• อาเจียน;
• ตะคริวในท้อง

ความสนใจ! หากคุณถูกแตน ผึ้ง หรือตัวต่อกัด คุณควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์ เนื่องจากอาการแพ้อาจถึงแก่ชีวิตได้

การแพ้ยา - เกิดจากการรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด วิตามิน ยาแก้ปวดในท้องถิ่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ยาจากซีรั่ม (อัลบูมิน)

อาการ:

• อาการทางผิวหนัง;
• การหายใจไม่ออก;
• ช็อกจากภูมิแพ้;
• ความพ่ายแพ้ อวัยวะภายใน(ตับ ไต หัวใจ)

ระดับของความซับซ้อนและอาการขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้น การแพ้แบ่งออกเป็นสองประเภท:

1. ไม่รุนแรง - น้ำมูกไหล, เยื่อบุตาอักเสบ, ลมพิษในท้องถิ่น
2. รุนแรง - ลมพิษอย่างกว้างขวาง, บวมอย่างรุนแรง, ช็อกจากภูมิแพ้

คำแนะนำ! เมื่อสงสัยว่ามีอาการแพ้ครั้งแรก สตรีมีครรภ์ควรติดต่อผู้แพ้ทันทีจะดีกว่า เขาจะค้นหาว่ามีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ และเลือกการรักษาด้วยยาหากจำเป็น

การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ในหญิงตั้งครรภ์

ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และนักภูมิคุ้มกันวิทยามีส่วนร่วมในการระบุสาเหตุของการแพ้ในหญิงตั้งครรภ์ ในการดำเนินการนี้ พวกเขารวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยและดำเนินการทดสอบและวิเคราะห์ต่างๆ

การระบุอาการแพ้ด้วยตนเองก่อนไปพบแพทย์

หากมีอาการแพ้เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ คุณสามารถระบุสาเหตุของการเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง หากเลื่อนการไปพบแพทย์ด้วยเหตุผลสำคัญ ร้านขายยามีการทดสอบพิเศษเพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในเลือด หลักการทำงานมีดังต่อไปนี้: ใช้เลือดเล็กน้อยกับตัวบ่งชี้และหลังจากนั้นไม่กี่นาทีจะต้องเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้กับตารางดัชนี วิธีการวินิจฉัยนี้เหมาะสำหรับการระบุอาการแพ้อาหารเป็นหลัก

เป็นความคิดที่ดีที่จะจดจำสิ่งที่คุณกินหรือสัมผัสก่อนที่จะเกิดอาการแพ้ อาจเป็นสัตว์ของคนอื่น แป้งหรือครีมใหม่ แชมพู หรือน้ำผลไม้ที่ซื้อจากร้านค้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารระคายเคืองนี้ซ้ำๆ แล้วอาการต่างๆ จะหายไป

หากคุณมีอาการแพ้ก่อนตั้งครรภ์ ให้เขียนไดอารี่พิเศษและจดอาหารใหม่ๆ ที่คุณกินและปฏิกิริยาของคุณต่ออาหารเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากว่าสิ่งใดที่ต้องแยกออกจากเมนู

สำคัญ! แม้ว่าคุณจะระบุแหล่งที่มาของการแพ้ได้อย่างอิสระ แต่การปรึกษาหารือกับแพทย์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

การระบุอาการแพ้ด้วยความช่วยเหลือจากแพทย์

หากคุณไม่สามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ได้ด้วยตนเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้จะเป็นผู้ดำเนินการนี้ เขาจะสั่งเจาะเลือดในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจภูมิแพ้ อาจทำการทดสอบผิวหนังด้วย ในการทำเช่นนี้มีการใช้สารบางชนิดกับผิวหนังและ รอยขีดข่วนเล็ก ๆเพื่อให้สารเหล่านี้สัมผัสกับเลือด นอกจากนี้ยังมีวิธีการที่รุนแรงกว่านั้นคือการปลูกฝังผู้ยั่วยุโดยตรงไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ภูมิแพ้ระหว่างตั้งครรภ์: มีอันตรายหรือไม่?

หญิงตั้งครรภ์รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในร่างกายของเธอด้วยวิธีพิเศษด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง หากก่อนตั้งครรภ์เมื่อเกิดอาการแพ้ผู้หญิงสามารถไปร้านขายยาและซื้อยาได้ตอนนี้เธอต้องคิดถึงผลกระทบของยาสังเคราะห์ต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

สำหรับคุณแม่

การตอบสนองของร่างกายหญิงตั้งครรภ์ต่อ ปัจจัยภายนอกค่อนข้างจะคาดเดาไม่ได้ ก่อนหน้านี้เธอกินกีวีและส้มอย่างมีความสุขและเดินไปกับสุนัขที่รักของเธอ แต่ตอนนี้ความสุขดังกล่าวทำให้น้ำตาไหลและผื่นอย่างรุนแรง ทั้งหมดเป็นเพราะฮอร์โมนที่ปรับตัว ร่างกายของผู้หญิงตามความต้องการของเด็ก แต่ประเด็นหลักก็คือ นอกเหนือจากความเป็นอยู่ที่ดีและความรู้สึกไม่สบายที่แย่ลงแล้ว การแพ้ไม่ได้ส่งผลเสียใด ๆ ต่อสตรีมีครรภ์

สำหรับลูกน้อย

ภาวะภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์สามารถส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้หรือไม่? ความเสี่ยงคือ “ศูนย์” เนื่องจากแอนติเจนของมารดาไม่สามารถข้ามสิ่งกีดขวางรกและเข้าสู่กระแสเลือดของทารกได้ แต่ถ้าคุณใส่ใจกับผลของยาป้องกันภูมิแพ้ต่อทารกในครรภ์ภาพจะไม่เป็นบวกนัก

ยาส่วนใหญ่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของหัวใจ ไต และระบบประสาท และการรักษาที่เลือกไม่ถูกต้องอาจทำให้การไหลเวียนของเลือดระหว่างผู้หญิงกับทารกในครรภ์หยุดชะงักได้ ส่งผลให้ขาดออกซิเจนและถึงแก่ชีวิตได้ สารสำคัญ- นอกจากนี้อย่าหันไปใช้ การบำบัดด้วยยาในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

บันทึก! โรคภูมิแพ้เป็นพยาธิสภาพทางพันธุกรรมทางพันธุกรรม ดังนั้นทารกในครรภ์จึงมีโอกาสเกิดมาพร้อมกับอาการแพ้ทุกครั้ง เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้เพื่อสังเกตอาการภูมิแพ้ได้ทันเวลา

โรคภูมิแพ้: การรักษาและวิธีการป้องกัน

ยังไม่มีใครสามารถรักษาโรคภูมิแพ้ได้เนื่องจากนี่คือคุณลักษณะของร่างกาย การรักษามุ่งเป้าไปที่การแยกสารก่อภูมิแพ้และบรรเทาอาการเท่านั้น หากมารดาที่เป็นโรคภูมิแพ้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ยาได้ จำเป็นต้องเลือกยาร่วมกับยาภูมิแพ้เท่านั้น ซึ่งจะประเมินข้อดีข้อเสียทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ยาและจะเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ของคุณ การบำบัดด้วยยาอาจรวมถึง ยาแก้แพ้, กรดโครโมลิกิก และสเปรย์ที่มีกลูโคคอร์ติคอยด์ (สำหรับใช้เฉพาะที่)

คุณสามารถทานยาแก้แพ้อะไรได้บ้างในระหว่างตั้งครรภ์:

1. Allertek - ยอมรับได้ในไตรมาสที่ 2 และ 3
2. Fexadin - อนุญาตให้รับเฉพาะเมื่อเท่านั้น รูปแบบที่รุนแรงโรคภูมิแพ้
3. Claritin - กำหนดหากภัยคุกคามต่อสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์สูงกว่าที่เป็นไปได้ ผลกระทบด้านลบจากยา
4. Tavegil - กำหนดไว้เฉพาะสำหรับการแพ้เฉียบพลันด้วย การพัฒนาที่เป็นไปได้อาการบวมน้ำของ Quincke หรือภาวะช็อกจากภูมิแพ้

หากคุณมีอาการแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์ สิ่งที่ไม่ควรรักษาด้วย:

1. ไดเฟนไฮดรามีน-เข้า ความเข้มข้นสูงกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของมดลูก
2. Pipolfen - ห้ามในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร
3. Terferadine - ทำให้เกิดการคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวน้อย

สำคัญ! ยาภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์สามารถเลือกได้โดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองเท่านั้น ในกรณีนี้คุณต้องปฏิบัติตามปริมาณที่เขากำหนดอย่างเคร่งครัด โปรดจำไว้ว่าการใช้ยาด้วยตนเองอาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยของคุณได้

วิตามินเป็นสถานที่พิเศษในการรักษาโรคภูมิแพ้ วิตามินต่อต้านฮิสตามีนที่ออกฤทธิ์มากที่สุด ได้แก่ :

1. กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) - ช่วยบรรเทาอาการบวมของเปลือกตาและมีน้ำไหลออกจากจมูกด้วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
2. Cyanocobalamin (วิตามินบี 12) - ระบุไว้สำหรับ การรักษาตามอาการโรคหอบหืดภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบ, กลาก, ความไวต่อไข่แดง
3. กรดนิโคตินิกถูกกำหนดไว้สำหรับไข้ละอองฟาง
4. สังกะสีเป็นสารต่อต้านฮีสตามีนตามธรรมชาติสำหรับการแพ้สารเคมี

อาหารสำหรับโรคภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์

อาวุธหลักในการต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้คืออาหารที่ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ แนะนำให้ผู้หญิงทุกคนปฏิบัติตามตั้งแต่ 7 เดือนจนถึงสิ้นสุดการให้นมบุตรโดยไม่มีข้อยกเว้น ถ้า หญิงมีครรภ์- ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะต้องรับประทานอาหารตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์

ประเด็นหลักของอาหารนี้คือการยกเว้น ผลิตภัณฑ์ภูมิแพ้, สารเติมแต่ง, สารแต่งสี, สารแต่งกลิ่น และสารตัวเติมสังเคราะห์อื่นๆ

สิ่งที่ควรยกเว้น:

• อาหารทะเล (คาเวียร์, กุ้งก้ามกราม, กุ้ง, ปู, ปลาหมึก, กั้ง);
• ผลเบอร์รี่สีแดง, ผลไม้, ผัก;
• น้ำนม;
• เห็ด;
• การอบ;
• น้ำผึ้งและผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
• ส้ม;
• ไข่;
• ช็อคโกแลตและขนมหวานที่ทำจากโกโก้
• ทอด, เผ็ด, หวาน, ดอง;
• เนื้อไก่
• น้ำผลไม้และโซดา
• ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันบูด

สิ่งที่ควรกินและดื่มสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ระหว่างตั้งครรภ์:

• ธัญพืชทุกชนิด
• เนื้อไม่ติดมัน (ต้ม, อบ);
• ผักและผลไม้ในเฉดสีเหลืองและเขียว
• เครื่องดื่มชาและกาแฟจากชิโครี
• ผลไม้แช่อิ่มจากแอปเปิ้ลและผลไม้แห้ง (ยกเว้นลูกเกด)
• ซุปธัญพืช
• ขนมปังข้าวไรย์
• ผลิตภัณฑ์นมหมัก (หากไม่มีการแพ้แลคโตส)

วิถีชีวิตแบบ "แพ้ง่าย"

หากคุณเป็นภูมิแพ้ งานของคุณคือป้องกันตัวเองจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ด้วยตัวเอง คุณสามารถทำได้แม้ว่าคุณจะตั้งครรภ์ก็ตาม คุณเพียงแค่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณในทิศทางที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย กฎพื้นฐานบางประการจะช่วยคุณทำสิ่งนี้:

1. บอกว่าอย่ากับทุกคน นิสัยไม่ดี- และไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เท่านั้น เอาชนะความเกียจคร้านและความคิดแย่ๆ ในหัวของคุณ จงชื่นชมยินดีให้บ่อยขึ้นและฝันถึงอนาคตที่มีความสุข ไม่ใช่เพื่ออะไรที่พวกเขาบอกว่าความคิดเป็นสิ่งมีสาระ
2. พยายามล้างจมูกและตาหลังเดินเล่น หรือดีกว่านั้นคืออาบน้ำเพื่อไม่ให้ละอองเกสรดอกไม้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือก
3. ทำความสะอาดแบบเปียกให้บ่อยที่สุด
4. กำจัดสิ่งที่สะสมฝุ่นและเศษไรฝุ่นออกจากบ้านของคุณ - พรม, ส่วนเกิน เฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะ,หนังสือเก่า,ของเล่นนุ่มๆ หากคุณไม่ต้องการแยกทางกับพวกเขา เพียงซ่อนพวกเขาไว้ในถุงพลาสติกระหว่างตั้งครรภ์
5. เปลี่ยนหมอนและผ้าห่มเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์
6. ยึดติดกับอาหารของคุณและเดินบ่อยขึ้น
7. ปฏิเสธสารเคมีในครัวเรือนที่เป็นอันตราย แต่หันมาใช้สารเคมีออร์แกนิก หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบโฮมเมดแบบดั้งเดิม

ภูมิแพ้เป็นอย่างมาก ปัญหาอันไม่พึงประสงค์กับสุขภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการจามที่น่ารำคาญหรือแผลพุพองสาหัสที่คันตลอดเวลาเป็นเวลา 9 เดือน แนวทางที่เชี่ยวชาญของแพทย์และการปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหมดอย่างเคร่งครัดจะช่วยบรรเทาอาการของคุณในระหว่างตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณจะมีอาการแพ้ในรูปแบบที่รุนแรงที่สุดก็ตาม ก โภชนาการที่เหมาะสมทัศนคติเชิงบวกและการพักผ่อนหย่อนใจอย่างกระตือรือร้น อากาศบริสุทธิ์มันจะให้สุขภาพไม่เพียงกับคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทารกในอนาคตด้วย